
ผลลัพธ์การค้นหา
พบผลการค้นหา 42 รายการ
- 4 งานด้านเอกสาร ที่ MEDHIS และ MEDHIS Lite ช่วยลดภาระงานได้
ภาระงานด้านเอกสารจำนวนมากและยุ่งยากมากเกินไปถือเป็นหนึ่งในต้นเหตุของภาวหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) ของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่สามารถช่วยลดภาระงานเหล่านี้ไปได้ หนึ่งในนั้นคือระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (Health Information System) หรือที่ทุกคนคงคุ้นเคยกันในชื่อระบบ HIS วันนี้ MEDcury จะพาไปดูว่าระบบ MEDHIS และ MEDHIS Lite ของเรา สามารถช่วยคุณลดภาระงานด้านเอกสารได้อย่างไรบ้างในบทความนี้! บันทึกและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ด้วยการทำงานผ่านระบบ MEDHIS และ MEDHIS Lite เพียงคุณบันทึกข้อมูลนั้น ๆ แค่ครั้งเดียว ข้อมูลนี้ก็พร้อมแสดงแบบ Real-Time บนระบบออนไลน์ แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์อื่น ๆ ที่ทำการรักษาผู้ป่วย จึงสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างสะดวก และประสานงานกันได้อย่างไร้รอยต่อ ส่งต่อข้อมูลโดยไม่ต้องใช้เอกสารกระดาษ ระบบ MEDHIS และ MEDHIS Lite จาก MEDcury เป็น HIS On-Cloud ในรูปแบบ Web-based จึงทำให้คุณสามารถส่งต่อข้อมูลของผู้ป่วยที่ถูกต้องและแม่นยำระหว่างแผนกผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบาย แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์อื่น ๆ ที่ทำการรักษาผู้ป่วยจึงสามารถค้นหาข้อมูลได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการใช้เวชระเบียนกระดาษหนาเป็นปึกอีกต่อไป อีกทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ไม่ต้องคอยกรอกข้อมูลเดิม ๆ ใหม่อีกครั้งอีกด้วย ผลลัพธ์จึงไม่ใช่แค่การลดการใช้กระดาษภายในโรงพยาบาล พร้อมเป็นโรงพยาบาลไร้กระดาษหรือ Paperless Hospital แต่ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการทำงานให้แก่บุคลากรของโรงพยาบาล รวมถึงประสบการณ์การใช้บริการที่ดีให้แก่ผู้ป่วยอีกด้วย บันทึกข้อมูลตามกฎระเบียบและข้อกำหนดต่าง ๆ ที่เข้มงวด งานธุรการ เอกสาร และข้อบังคับต่าง ๆ เป็นตัวการสำคัญที่สร้างความเหนื่อยหน่ายในหมู่บุคลากรทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม MEDHIS และ MEDHIS Lite สามารถเปลี่ยนเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ให้กลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นได้ เพราะในระบบของเรามีแบบฟอร์มต่าง ๆ แบบสำเร็จรูปที่ตรงตามเกณฑ์เฉพาะและแนวทางที่เข้มงวด พร้อมให้คุณเลือกใช้งานอย่างเหมาะสม หรือจะใช้ฟีเจอร์ ‘'Customizable E-Form' เพื่อสร้างฟอร์มใหม่ตามแบบที่คุณต้องการก็ได้เช่นกัน เก็บรักษาข้อมูลอย่างปลอดภัย ระบบ MEDHIS และ MEDHIS Lite ถูกพัฒนาขึ้นตามหลัก Data Security เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลตามมาตรฐานสากล โดยการจำกัดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลเฉพาะผู้ที่มีสิทธิ์เข้าถึงเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุดอีกด้วย ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยจึงสามารถทำงานและใช้บริการได้อย่างปลอดภัยและสบายใจ 4 งานด้านเอกสารเหล่านี้ถือเป็นงานหลัก ๆ ที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องเสียสละเวลาอันมีค่าในแต่ละวันเพื่อมาจัดการให้เสร็จสิ้น ดังนั้นจะดีกว่าไหมถ้าโรงพยาบาลพิจารณานำระบบ HIS เข้ามาช่วยเพื่อลดภาระงานในส่วนนี้ เปิดโอกาสให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ทำงานมุ่งเน้นไปที่การรักษาผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น สนใจนำ MEDHIS หรือ MEDHIS Lite เข้ามาใช้ในองค์กร? ที่ MEDcury เราพร้อมให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ สามารถพูดคุยหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MED-HIS กับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์ม คลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury
- 9 ปัญหาที่ตามมาจากลายมือหมออ่านยาก พร้อมวิธีแก้ไขให้อยู่หมัด
คุณเคยเห็นไวรัลบนโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับลายมือหมอในใบรายงานการตรวจ แล้วพยายามช่วยแกะลายมือนั้นบ้างไหม? นี่อาจดูเป็นเรื่องขำขันหรือท้าทาย แต่รู้หรือไม่ว่าเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ตลกไม่ออกสำหรับหลาย ๆ คน เพราะลายมือหมอที่ยึก ๆ ยือ ๆ จนอ่านไม่ออกนี้ สร้างปัญหาให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นเพื่อนร่วมงาน รวมถึงตัวผู้ป่วยกันมานักต่อนัก วันนี้ MEDcury ขอชวนทุกคนมาดู 9 ปัญหาที่ตามมาจากลายมือหมออ่านยาก พร้อมเผยสุดยอดวิธีแก้ไขปัญหานี้อย่างเด็ดขาด จะเป็นอย่างไร ตามมาอ่านได้ในบทความนี้เลย! 9 ปัญหาที่ตามมาจากลายมือหมออ่านยาก 1. การรักษาผิดพลาด การเขียนคำสั่งการแพทย์ต่าง ๆ หรือใบสั่งยาด้วยลายมือยึกยืออ่านยาก อาจนำไปสู่หายนะครั้งใหญ่ในการรักษาและจ่ายยา ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อผู้ป่วย โดยความคลาดเคลื่อนในการวินิจฉัย การรักษา และการจ่ายยาที่เกิดขึ้นจากลายมือที่อ่านยากนี้มีมากมายหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งจ่ายยาในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ยาผิดชนิด ผิดขนาดความแรงยา วิธีใช้ยาที่ผิด ผ่าตัดผิดคน ผ่าตัดผิดข้าง ผ่าตัดผิดตำแหน่ง ผ่าตัดผิดหัตถการ ตัวอย่างเช่น บุคลากรทางการแพทย์เขียนเลข 1 แต่คนอ่านอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเลข 7 บุคลากรทางการแพทย์ลืมใส่จุดทศนิยม หรือเขียนชิดกันมากจนแยกไม่ออก จาก 1.0 ก็สามารถกลายเป็น 10 ได้ ส่งผลให้อาจสั่งจ่ายยาผิดพลาดเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ 10 เท่าเลยทีเดียว บุคลากรทางการแพทย์ทำการผ่าตัดก้อนเนื้อที่หน้าอกบริเวณด้านบน จากที่จริง ๆ ต้องผ่าตัดที่หน้าอกบริเวณด้านล่าง 2. กระทบการทำงานร่วมกันระหว่างแผนก หลายคนคงเดาได้ไม่ยากว่าคนที่จะต้องอ่านลายมือยึกยือเหล่านี้และทำการถอดรหัสจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นเพื่อนร่วมงาน คนที่ทำงานด้วยกันมานานหลายปีอาจจะเคยชินบ้าง แต่บางคนก็ไม่สามารถทำความคุ้นชินกับลายมือแบบนี้ได้เลยสักครั้ง อีกทั้งในแต่ละปีจะมีนักศึกษาแพทย์หน้าใหม่เข้ามาเรียนรู้งาน หรือแม้แต่มีบุคลากรย้ายมาใหม่หมุนเวียนไปมาอีก นี่จึงอาจเป็นการสร้างปัญหาให้เพื่อนร่วมงาน ซึ่งกระทบต่อการทำงานอื่น ๆ ด้วย เพราะเพื่อนร่วมงานต้องมาคอยเสียเวลาเพื่อแกะรหัสลายมือ หรือมีการถามซ้ำเพื่อตรวจสอบข้อมูล 3. ปริมาณงานเพิ่มขึ้น ใช้เวลาทำงานนานขึ้น การเขียนด้วยลายมือที่อ่านยากนี้อาจนำไปสู่การสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง ดังที่กล่าวไปว่าเพื่อนร่วมงานต้องยอมเสียเวลาเพื่อถอดรหัสลายมือ หรือถามซ้ำเพื่อตรวจสอบข้อมูล นี่จึงไม่ต่างอะไรกับงานที่เพิ่มขึ้น แถมยังต้องใช้เวลาทำงานนานมากขึ้นอีกด้วย 4. รักษาผู้ป่วยได้ล่าช้า สภาพแวดล้อมในโรงพยาบาลนั้นยุ่งวุ่นวายตลอดเวลา และทุกวินาทีล้วนมีค่า แต่เมื่อบุคลากรทางการแพทย์ทำงานได้ช้าลงแบบนี้ แน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อคุณภาพการดูแลที่ผู้ป่วยได้รับ โดยเฉพาะในด้านระยะเวลารอคอย ทำให้เกิดความล่าช้าในการรักษาผู้ป่วย นอกจากนี้ความเข้าใจผิดเนื่องจากลายมืออ่านไม่ออกนี้ยังอาจทำให้มีการสั่งการตรวจวินิจฉัยที่ไม่จำเป็นสำหรับอาการของผู้ป่วยอีกด้วย 5. ผู้ป่วยสับสนและไม่เข้าใจคำแนะนำในการใช้ยาและดูแลสุขภาพ แม้ว่าผู้ป่วยบางรายได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลเสร็จสิ้นแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็ยังต้องกลับไปดูแลตนเองต่อหลังจากออกจากโรงพยาบาล ซึ่งหลาย ๆ ครั้งผู้ป่วยมักมีปัญหาในการทำความเข้าใจวิธีปฏิบัติตัว ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการรับประทานยา การดูแลบาดแผล การควบคุมอาหาร การทำกายภาพบำบัด และอื่น ๆ อีกมากมาย หากเอกสารเหล่านี้ถูกเขียนด้วยลายมือที่อ่านยากก็เป็นการสร้างความสับสนให้แก่ผู้ป่วยได้ และอาจนำไปสู่ผลในแง่ลบในการดูแลและติดตามผล รวมถึงสุขภาพของผู้ป่วยโดยรวม 6. ผู้ป่วยเสี่ยงเกิดอาการไม่พึงประสงค์ การเขียนด้วยลายมือที่อ่านยากและไม่ชัดเจนนี้ทำให้การสื่อสารเพื่อถ่ายทอดข้อมูลที่สำคัญไม่แม่นยำอย่างที่ควรจะเป็น จนนำไปสู่ผลกระทบที่ร้ายแรงต่อผู้ป่วย ตั้งแต่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ รักษาไม่ทันท่วงที จนอาจรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ 7. สร้างความยุ่งยากในกระบวนการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล การเขียนเอกสารทางการแพทย์ต่าง ๆ เช่น ใบรับรองแพทย์ แบบฟอร์มการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เป็นต้น ด้วยลายมือที่อ่านยาก อาจทำให้เกิดความยุ่งยากและล่าช้าในการดำเนินการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพราะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้ต้องเสียเวลาตีความข้อมูล และอาจนำเข้าข้อมูลต่าง ๆ ที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ชัดเจน โดยเฉพาะรหัสโรคและหัตถการ (ICD-10) ส่งผลให้เกิดผลกระทบในการเรียกเก็บเงินและเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่อาจนำไปสู่การปฏิเสธการเรียกร้องหรือความล่าช้าในการคืนเงิน 8. เกิดข้อร้องเรียนหรือปัญหาทางด้านกฎหมายหรือกฎระเบียบ ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ อาจทำให้ทั้งตัวบุคลากรทางการแพทย์ผู้เขียนด้วยลายมือที่อ่านยาก รวมถึงเพื่อนร่วมงานที่ถอดรหัสตีความลายมือนี้ได้รับผลกระทบทางด้านกฎหมายหรือกฎระเบียบ โดยอาจถูกร้องเรียนหรือฟ้องร้องต่อศาล เพื่อแสดงความรับผิดชอบ ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับอันตรายหรือความไม่สะดวกใด ๆ 9. กระทบต่อชื่อเสียงของโรงพยาบาล และส่งผลต่อรายได้ของโรงพยาบาล เมื่อลายมืออ่านยากและไม่ชัดเจนเป็นเหตุให้เกิดความความผิดพลาดในการรักษา หรือคุณภาพในการรักษาลดลง จนผู้ป่วยต้องเสี่ยงได้รับอันตราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ผู้ป่วยหลาย ๆ คนจึงอาจมีการร้องเรียน หรืออาจรุนแรงถึงขั้นฟ้องร้องต่อศาลเพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายเลยทีเดียว ดังนั้นโรงพยาบาลอาจจำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งสำหรับการดำเนินคดีทางด้านกฎหมาย และเพื่อเยียวยาช่วยเหลือผู้ป่วยหรือครอบครัวของผู้ป่วย นอกจากนี้ในปัจจุบันข่าวต่าง ๆ สามารถถูกเผยแพร่ออกไปในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว ทั้งจากการบอกกันปากต่อปาก ผ่านโซเชียลมีเดีย จนไปถึงการถูกนำเสนอโดยสำนักข่าวดัง นี่จึงอาจกระทบต่อชื่อเสียงที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของโรงพยาบาลอย่างรุนแรง และอาจทำให้รายได้ของโรงพยาบาลลดลงอีกด้วย Paperless Hospital สุดยอดวิธีแก้ไขปัญหาลายมือหมออ่านยาก หนึ่งวิธีที่สามารถแก้ไขปัญหาลายมือหมออ่านยากได้อย่างถาวรคือการเปลี่ยนโรงพยาบาลให้เป็นโรงพยาบาลไร้กระดาษหรือ Paperless Hospital ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการเขียนด้วยลายมืออีกต่อไปนั่นเอง แล้วเราจะทำได้อย่างไร ตามมาดูต่อกันข้างล่างนี้เลย! 3 วิธีเปลี่ยนแปลงโรงพยาบาลให้กลายเป็น Paperless Hospital เพื่อแก้ไขปัญหาลายมือหมออ่านยาก 1. นำระบบสารสนเทศโรงพยาบาลหรือ Hospital Information System (HIS) เข้ามาใช้งาน เพราะการมีระบบ HIS ช่วยปลดล็อกความสามารถในการบันทึกและเก็บเอกสารต่าง ๆ ในรูปแบบออนไลน์ที่ต้องอาศัยด้วยการพิมพ์หรือกดเลือกตัวเลือกต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบ ดังนั้นทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นเพื่อนร่วมงานหรือผู้ป่วยต่างก็ไม่จำเป็นต้องมาคอยถอดรหัสชวนงงงวยนี้อีกต่อไป ความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นจากลายมือยึกยืออ่านยากจึงลดลงไปด้วยนั่นเอง 2. ใช้เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Medical Records : EMR) แทนการใช้เวชระเบียนกระดาษ การใช้เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์แทนเวชระเบียนกระดาษ ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ลดการพึ่งพาเอกสารที่เขียนด้วยลายมือ ผลลัพธ์ปลายทางจึงช่วยลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีต้นเหตุมาจากการเขียนด้วยลายมือที่อ่านยาก ทุกคนสามารถอ่านออกได้ง่าย ๆ และเข้าใจถูกต้อง ทำให้กระบวนการการรักษาทั้งหมดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยปรับปรุงความปลอดภัยโดยรวมของผู้ป่วยอีกด้วย 3. ใช้เอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ในแต่ละวัน บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจำเป็นต้องออกเอกสารต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นใบรับรองแพทย์ การบันทึกทางการพยาบาล และอื่น ๆ อีกมากมาย หากเราสามารถเปลี่ยนเอกสารเหล่านี้จากเอกสารกระดาษให้ไปอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แทน ก็จะถือเป็นการตัดปัญหาลายมืออ่านยากไปได้ นอกจากนี้ยังเป็นการลดการใช้ทรัพยากรกระดาษ ประหยัดต้นทุนของโรงพยาบาลได้เป็นอย่างมาก แถมยังเป็นการสนับสนุนการทำงานและให้บริการแบบดิจิทัลตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้ป่วยในปัจจุบันอีกด้วย ระบบ Paperless ช่วยขจัดปัญหาที่เกิดจากลายมือหมออ่านยากได้อย่างไร? ทั้ง 3 วิธีข้างต้นจะทำให้กระบวนการทำงานระหว่างโรงพยาบาลที่เป็น Paperless Hospital และโรงพยาบาลที่ไม่ได้เป็น Paperless Hospital แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง MEDcury ได้ทำรูปภาพนี้ขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบให้ทุกคนเห็นภาพกันชัดเจนมากยิ่งขึ้น มาดูกันเลย เป็นอย่างไรกันบ้าง เห็นแล้วใช่ไหมว่าสุดท้ายแล้วการเปลี่ยนโรงพยาบาลให้เป็นโรงพยาบาลไร้กระดาษหรือ Paperless Hospital จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่กระบวนการรักษา ซึ่งส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถทำงานได้อย่างแฮปปี้ ผู้ป่วยเองก็ได้ประโยชน์ นอกจากนี้โรงพยาบาลยังสามารถลดการใช้ทรัพยากรได้อีกมหาศาลเลยอีกด้วย MEDHIS และ MEDHIS Lite ตัวช่วยเด็ด เคล็ดลับขจัดลายมือหมออ่านยาก ในสภาพแวดล้อมทางการแพทย์ที่ยุ่งวุ่นวาย การสื่อสารที่ชัดเจนถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าเราถ่ายทอดข้อมูลที่สำคัญได้อย่างถูกต้องแม่นยำ MEDHIS และ MEDHIS Lite ถือเป็นตัวช่วยหนึ่งที่พร้อมช่วยคุณเพิ่มศักยภาพในการบันทึกและส่งต่อข้อมูลโดยไม่ต้องพึ่งพาการเขียนด้วยลายมือหรือการใช้เอกสารกระดาษ MEDHIS และ MEDHIS Lite คือระบบ HIS จาก MEDcury ซึ่งเป็น HIS On-Cloud ในรูปแบบ Web-based ที่มาพร้อมกับเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์หรือ EMR เมนูสั่งจ่ายยา เมนูส่งต่อผู้ป่วยระหว่างแผนก เมนูการเงินและบัญชี บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจึงสามารถทำทุกอย่างได้ผ่านระบบออนไลน์แบบ Real-Time ทำให้การประสานงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและไร้รอยต่อภายใต้การปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างเข้มงวด พร้อมความปลอดภัยระดับสากล ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจึงสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมส่งมอบบริการที่มีคุณภาพให้แก่ผู้ป่วย ส่วนผู้ป่วยเองก็สามารถใช้บริการได้อย่างปลอดภัยและสบายใจ นอกจากนี้ยังช่วยโรงพยาบาลลดการใช้ทรัพยากรและต้นทุน และเป็นการสนับสนุนให้โรงพยาบาลมีสิทธิ์ได้รับมาตรฐาน EMRAM จาก HIMSS (Healthcare Information and Management Systems Society) อีกด้วย สนใจนำ MEDHIS หรือ MEDHIS Lite เข้ามาใช้ในองค์กร? ที่ MEDcury เราพร้อมให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ สามารถพูดคุยหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDHIS กับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์ม คลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury
- สรุป 4 เทรนด์เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปี 2024 ที่โรงพยาบาลไม่ควรพลาด!
พร้อมเริ่มต้นปีใหม่ 2567 กันรึยัง? ในปีหน้าที่จะถึงนี้ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายการทำงานของผู้ประกอบการธุรกิจโรงพยาบาลหรือการดูแลสุขภาพ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของภูมิทัศน์ด้านการดูแลสุขภาพ หรือ Healthcare Landscape จากพฤติกรรมของผู้ป่วยที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย พวกเรา MEDcury จึงได้รวบรวมเทรนด์เทคโนโลยีการแพทย์ที่น่าสนใจมาให้ทุกคนแล้วในบทความนี้ ถ้าไม่อยากตกเทรนด์ ตามมาดูกันเลย แล้วมาปรับตัวก้าวให้ทันยุคทันสมัย พร้อมดำเนินธุรกิจให้เติบโต เอาชนะใจผู้ป่วยในปีหน้านี้กัน สรุป 4 เทรนด์เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปี 2024 ที่โรงพยาบาลไม่ควรพลาด! 1. Remote Patient Monitoring (RPM) และ Telemedicine ข้อมูลจาก IDC ชี้ว่าเทคโนโลยี Remote Patient Monitoring (RPM) และ Telemedicine เป็นเทคโนโลยีอันดับหนึ่งที่เหล่าผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจในโรงพยาบาลหรือคลินิกต้องการจัดแจงงบให้เพื่อลงทุนและพัฒนา เพราะเทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งมอบการรักษาพยาบาล ผู้ป่วยจึงสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเดินทางมาโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์เอง นอกจากนี้การมี RPM และ Telemedicine ยังช่วยให้โรงพยาบาลสามารถแก้ไขปัญหาขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเพิ่มความสามารถสูงสุดในการดูแลผู้ป่วยเชิงรุกได้อีกด้วยนั่นเอง นี่จึงเป็นเหตุผลที่เหล่าผู้บริหารวางแผนที่ลงทุนและพัฒนาในเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่องในปี 2567 นี้ 2. AI และ Generative AI AI ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์มาสักพักแล้ว เช่น การช่วยเหลือในการคัดกรองตนเอง (Self-guided Screening) การวิเคราะห์และวินิจฉัยจากภาพวินิจฉัย (Imaging Analytics and Diagnostics) เป็นต้น แต่ Generative AI ถือเป็นอีกแขนงหนึ่งของเทคโนโลยี AI ที่กำลังมาแรงมาก เพราะมันเกิดมาเพื่อพลิกโฉมโลกการทำงานแทบจะทุกวงการ นอกจากนี้เหล่าผู้เชี่ยวชาญต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันจะสร้างแรงกระเพื่อมยาวนานต่อไปอีกอย่างน้อย 12 เดือนข้างหน้านี้ การประยุกต์ใช้ Generative AI ในวงการดูแลสุขภาพนั้นถือว่าไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความสามารถในการใช้ประโยชน์จาก AI ประเภทอื่น ๆ การสร้าง Chatbot หรือ Virtual Assistant คอยช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยคำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ป่วย และอื่น ๆ อีกมากมาย 3. Virtual Healthcare Assistants และ Chatbot เทคโนโลยีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงที่โรงพยาบาลควรจับตามอง เพราะเป็นเทคโนโลยีที่เรียกว่ายิงปืนครั้งเดียวได้นกสองตัว โดยสามารถคอยเป็นสายซัพพอร์ตให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษา การวินิจฉัย และการใช้ยา อีกทั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่พร้อมให้บริการแก่ผู้ป่วยอย่างเต็มใจ และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับบริการต่าง ๆ หรือการดูแลสุขภาพของผู้ป่วย การนัดหมายแพทย์พร้อมเชื่อมต่อไปยังระบบสารสนเทศโรงพยาบาล หรือระบบ HIS หรือแม้แต่การแจ้งเตือนให้ผู้ป่วยรับประทานยาหรือออกกำลังกาย 4. Big Data การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่หรือ Big Data ถือเป็นหนึ่งเทคโนโลยีที่โรงพยาบาลไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด เพราะเหล่าผู้บริหารของโรงพยาบาลจำนวนมากจากการสำรวจของ IDC ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีนี้จะนำมาซึ่งข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่ามหาศาล ทำให้องค์กรสามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเป็น Data-Driven Healthcare Organization ซึ่งสุดท้ายจะช่วยให้โรงพยาบาลสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานในองค์กรได้อย่างเหมาะสม และปลดล็อกศักยภาพอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่อยากเป็นโรงพยาบาลเดียวที่ตกเทรนด์? เป็นอย่างไรกันบ้าง...มีเทคโนโลยีไหนที่คุณอยากให้มีในโรงพยาบาลของตนเองบ้างไหม ? ถ้าคุณต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานภายในโรงพยาบาล นำเสนอบริการที่ตอบโจทย์และคุณภาพสูงให้แก่ผู้ป่วย และไม่อยากเป็นโรงพยาบาลเดียวที่ตกเทรนด์ อย่าลืมพิจารณาลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของ Healthcare Landscape สมัยใหม่กันนะ สำหรับใครที่อยากพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านสุขภาพ สามารถพูดคุยกับพวกเรา MEDcury ได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์มคลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.redoxengine.com/ https://www.forbes.com/
- 8 เคล็ด(ไม่)ลับ : การปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วย
ในปัจจุบันนี้หลาย ๆ โรงพยาบาลได้เปลี่ยนรูปแบบการเก็บข้อมูลของผู้ป่วยจากแผ่นกระดาษมาอยู่ในระบบออนไลน์กันเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และลดต้นทุนต่าง ๆ มากมาย อย่างไรก็ตามเมื่อข้อมูลเหล่านี้อยู่บนออนไลน์ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดเหล่าโจรไซเบอร์ได้เป็นอย่างดี วันนี้ MEDcury เลยขอมาแชร์ 8 ทริคที่จะช่วยให้โรงพยาบาลสามารถปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยให้ปลอดภัยจากการโจรกรรมข้อมูลทางไซเบอร์ จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย 1️⃣ ปฏิบัติตาม 3 กฎหมาย : HIPAA, GDPR และ PDPA นอกจากกการมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการให้บริการแก่ผู้ป่วยแล้ว โรงพยาบาลยังควรต้องมุ่งเน้นที่จะปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยอีกด้วย โดยมี 3 กฎหมายที่ถือเป็นแนวทางปฏิบัติพื้นฐานในการปกป้องคุ้มครองข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ได้แก่ HIPAA, GDPR และ PDPA เพื่อให้การจัดเก็บ การใช้ และการส่งต่อข้อมูลสุขภาพภายใต้การคุ้มครอง (Protected Health Information : PHI) เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด มิเช่นนั้นแล้วโรงพยาบาลอาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายได้ หากอยากรู้จักกฎหมายเหล่านี้เพิ่มขึ้นสามารถอ่านได้ที่นี่เลย! 👉🏻 3 กฎหมายด้านข้อมูลที่โรงพยาบาลต้องปฏิบัติตาม 2️⃣ ฝึกอบรมบุคลากร หากเจ้าหน้าที่พนักงานทำงานผิดพลาดหรือประมาทเลินเล่อแม้เพียงเล็กน้อย หรือไม่ตระหนักถึงความสำคัญในการปกป้องข้อมูลของลูกค้า สิ่งเหล่านี้ก็อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ต่อโรงพยาบาลได้ การฝึกอบรมในประเด็นด้านความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยให้แก่เจ้าหน้าที่พนักงานจึงถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจสำหรับการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง การตัดสินใจอย่างชาญฉลาด และเพิ่มความตระหนักในการจัดการข้อมูลของผู้ป่วยเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวอย่างระมัดระวังได้อย่างเหมาะสม 3️⃣ จำกัดการเข้าถึงข้อมูลและยืนยันตัวตนทุกครั้งเมื่อต้องการเข้าถึงข้อมูล การจำกัดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ป่วยให้เฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้นถือเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการปกป้องข้อมูล เพราะเป็นการคัดผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออก และเปิดเผยข้อมูลให้เฉพาะบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น อย่างไรก็ตามแม้จะมีการจำกัดสิทธิ์แล้ว แต่การเข้าถึงแต่ละครั้งก็ยังควรมีการยืนยันตัวตนของผู้เข้าถึงอีกครั้งโดยใช้ Multi-Factor Authentication กล่าวคือนอกจากการเข้าถึงด้วย Username และ Password แล้ว ยังจะมีการตรวจสอบอีกครั้งโดยใช้สิ่งยืนยันตัวตนต่าง ๆ เช่น รหัส PIN คีย์การ์ด หรือแม้แต่การใช้ Biometrics อย่างการสแกนใบหน้า สแกนลายนิ้วมือ หรือสแกนดวงตา เป็นต้น เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่เข้าถึงนั้นเป็นตัวจริง ไม่ใช่การสวมรอยหรือแอบอ้าง 4️⃣ ควบคุมการใช้ข้อมูล บางครั้งแค่จำกัดการเข้าถึงและยืนยันตัวตนอาจไม่เพียงพอ แต่ต้องมีการควบคุมกิจกรรมด้านข้อมูลต่าง ๆ ที่อาจมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความเสียหายด้วย เช่น การอัปโหลดลงบนเว็บ การส่งอีเมลโดยไม่ได้รับอนุญาต การคัดลอกไปยังไดรฟ์ภายนอก หรือการพิมพ์เอกสาร เป็นต้น ซึ่งการจะควบคุมกิจกรรมเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสมนั้นจะต้องมีการทำ Data Discovering และ Data Classification เสียก่อน เพื่อสำรวจ หาความหมาย และจัดแบ่งข้อมูลออกเป็นกลุ่มตามการใช้งาน และมูลค่าของข้อมูลแต่ละชนิด เพื่อให้ระบบสามารถระบุได้ว่าข้อมูลนี้ควรได้รับการป้องกันในระดับใด 5️⃣ บันทึกประวัติการเข้าถึง บันทึกประวัติการเข้าถึงก็มีความสำคัญเช่นกัน เพราะทำให้เราสามารถตรวจสอบได้ว่ามีผู้ใช้รายใดบ้างที่เข้าถึงข้อมูลนี้ และเข้าถึงเมื่อไหร่ จากอุปกรณ์ใด ที่ตำแหน่งใด หากมีการเข้าถึงที่ผิดปกติ โรงพยาบาลก็อาจเตรียมมาตรการป้องกันไว้ได้ทัน หรือหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นก็สามารถใช้บันทึกนี้ในการชี้ตัวผู้ก่อเหตุ ระบุสาเหตุ และประเมินความเสียหายได้ 6️⃣ เข้ารหัสข้อมูล การเข้ารหัสข้อมูลหรือ Data Encryption ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องข้อมูลของโรงพยาบาล รวมไปถึงทุก ๆ องค์กรด้วย โดยข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสจะปลอดภัยทั้งในขณะที่ส่งต่อ หรือแม้แต่ในขณะที่ไม่ได้ใช้งาน ถึงแม้ผู้โจมตีทางไซเบอร์จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ แต่การถอดรหัสข้อมูลนั้นทำได้ยากมาก ๆ จนถึงขั้นเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นการเข้ารหัสข้อมูลถือเป็น A MUST ที่โรงพยาบาลควรทำอย่างยิ่ง 7️⃣ ประเมินความเสี่ยงเป็นประจำ การประเมินความเสี่ยงเป็นประจำจะทำให้โรงพยาบาลสามารถระบุจุดอ่อนหรือจุดอ่อนในด้านต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบการรักษาความปลอดภัยขององค์กร ความรู้และความเข้าใจของเจ้าหน้าที่พนักงาน ความน่าเชื่อถือและพฤติกรรมของพันธมิตรทางธุรกิจ และประเด็นอื่น ๆ ที่น่ากังวล การประเมินความเสี่ยงเป็นประจำเช่นนี้จะเป็นการป้องกันเชิงรุก และช่วยลดความเสี่ยงในการละเมิดข้อมูลและความเป็นส่วนตัวได้ ถือเป็นการหลีกเลี่ยงผลกระทบอื่น ๆ ที่อาจตามมาจากการละเมิดความเป็นส่วนหรือรั่วไหลของข้อมูล ตั้งแต่ความเสียหายต่อชื่อเสียง รวมไปถึงบทลงโทษจากหน่วยงานกำกับดูแล 8️⃣ สำรองข้อมูลแบบ Offsite การสำรองข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่แค่เพราะเพื่อกู้คืนความเสียหายในกรณีที่ถูกโจมตีทางไซเบอร์ แต่ยังสามารถกู้คืนความเสียหายจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างภัยธรรมชาติที่อาจกระทบต่อศูนย์จัดเก็บข้อมูลได้อีกด้วย ดังนั้นโรงพยาบาลจึงควรมีการสำรองข้อมูลที่เหมาะสม ซึ่งการสำรองข้อมูลแบบ Offsite ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ โดยโรงพยาบาลควรสำรองข้อมูลผ่านระบบที่ปลอดภัยรัดกุม และทริคที่สำคัญคืออย่าลืมที่จะสำรองข้อมูลบ่อย ๆ ด้วย เพื่อให้ข้อมูลเป็นปัจจุบันที่สุดนั่นเอง เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับ 8 เคล็ด(ไม่)ลับที่เรานำมาฝาก รู้ประโยชน์กันไปขนาดนี้แล้ว อย่าลืมนำไปใช้กันด้วยนะ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยสูงสุดในการจัดเก็บข้อมูลให้กับโรงพยาบาลของคุณ และสำหรับใครที่อยากพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมด้านการดูแลสุขภาพ สามารถพูดคุยกับพวกเรา MEDcury ได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์มคลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury อ้างอิงข้อมูลจาก https://digitalguardian.com/blog/healthcare-cybersecurity-tips-securing-private-health-data
- บัตรทองเบิกได้! LGBTQ+ กับสิทธิผ่าตัดแปลงเพศภายใต้การวินิจฉัยจากแพทย์
เมื่อไม่นานมานี้ สปสช.พึ่งได้มีการยืนยันถึงการหารือเพื่อออกแพ็กเกจสำหรับการผ่าตัดแปลงเพศในกลุ่ม LGBTQ+ โดยใช้สิทธิบัตรทอง นี่ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับชาวสีรุ้งหรือกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศที่มีปัญหาเพศสภาพไม่ตรงกับจิตใจและร่างกาย และนี่ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับโรงพยาบาลที่มีบัตรทองไม่แพ้กัน ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น วันนี้ MEDcury ขอมาเล่าและวิเคราะห์แพ็กเกจสิทธิบัตรทองนี้ ตามมาดูกันเลย! เล่าเท้าความสิทธิการผ่าตัดแปลงเพศและปัญหาที่มี จริง ๆ แล้วการผ่าตัดแปลงเพศเป็นการผ่าตัดที่อยู่ในสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทองมาตั้งแต่ปี 2561 แล้ว แต่กลับยังไม่เคยมีการออกแพ็กเกจที่ครบทุกกระบวนการตั้งแต่การส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ไปจนถึงการรักษาฟื้นฟูอย่างชัดเจนเลย… ผลที่ตามมาคือแม้จะมีระบบเบิกจ่ายรองรับ แต่โรงพยาบาลก็อาจได้รับการจ่ายเงินที่ไม่เพียงพอ เนื่องจากการผ่าตัดแปลงเพศนั้นต้องมีการทำหัตถการที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ มากมายด้วย เช่น ตัดกราม ผ่าตัดใบหน้า ผ่าตัดหน้าอก ผ่าตัดอวัยวะเพศ เป็นต้น จึงมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง นอกจากนี้โรงพยาบาลยังต้องเบิกแยกแต่ละหัตถการอีกด้วย ซึ่งถือเป็นการทำงานที่ซ้ำซ้อนและใช้เวลาค่อนข้างนาน อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้สปสช. ได้ยืนยันว่าในขณะนี้ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมเพศวิทยาคลินิกและเวชศาสตร์ทางเพศกำลังเร่งหารือออกแพ็กเกจให้ชัดเจน โดยคาดว่าจะเสร็จในอีก 1-2 เดือน LGBTQ+ เตรียมเฮ สิทธิบัตรทอง ผ่าตัดแปลงเพศฟรี! นี่ถือเป็นข่าวดีส่งท้ายปีสำหรับชาว LGBTQ+ ที่กำลังจะได้รับสิทธิประโยชน์ผ่าตัดแปลงเพศตามสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทองอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การใช้ฮอร์โมนไปจนถึงการทำหัตถการ อย่างไรก็ตาม MEDcury ขอย้ำอีกทีว่าการผ่าตัดแปลงเพศนี้จะต้องเป็นการผ่าตัดตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสภาพร่างกายให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศเท่านั้น ไม่ใช่ศัลยกรรมเพื่อความสวยงาม ดังนั้นทุกคนอย่าเข้าใจผิดเชียวล่ะ เพราะการผ่าตัดเพื่อความสวยงามจะไม่อยู่ในความครอบคลุมและเบิกไม่ได้นะ! 🏳️🌈 สรุปข้อดีสำหรับชาว LGBTQ+ ที่มีเพศสภาพไม่ตรง ตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ✅ สามารถรับยาฮอร์โมนเพื่อใช้ในการส่งเสริมป้องกันโรคได้ ✅ สามารถทำหัตถการเพื่อแปลงเพศโดยไม่มีค่าใช้จ่ายตามสิทธิบัตรทอง ✅ สามารถทำหัตถการเพื่อแปลงเพศได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โรงพยาบาลเตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีกว่า สำหรับเหล่าโรงพยาบาลที่รับสิทธิบัตรทอง นี่ก็ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ต้องเตรียมตัวรับมืออีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้กระบวนการเบิกจะต้องเบิกแยกผ่านระบบ DRG สำหรับแต่ละหัตถการ ซึ่งใช้เวลานานและซ้ำซ้อน แต่แพ็กเกจใหม่สำหรับกลุ่ม LGBTQ+ จะรวมทุกอย่างที่จำเป็นมาให้ในแพ็กเกจเดียว จึงไม่ต้องเสียเวลาและพลังงานไปกับการเบิกแยกอีกต่อไป จึงเป็นเรื่องที่โรงพยาบาลควรจับตามองไม่ให้ละสายตา เพื่อเตรียมพร้อมรับมืออัปเดตข้อมูลในระบบสารสนเทศของโรงพยาบาลหรือ HIS ที่ใช้อยู่ให้เหมาะสมกับสิทธิใหม่นี้ เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย ได้รับการจ่ายเงินในจำนวนที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น รวมถึงพร้อมให้บริการผู้ป่วยกลุ่ม LGBTQ+ อย่างครอบคลุม 👨🏻⚕️ สรุปข้อดีสำหรับโรงพยาบาล ✅ ลดการทำงานซ้ำซ้อน ✅ ลดระยะเวลาในการทำงาน ✅ ได้รับเงินจากการเบิกผ่านระบบ DRG ที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น ✅ ยกระดับการให้บริการแก่ผู้ป่วยที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น กำลังมองหาระบบ HIS? สำหรับโรงพยาบาลใดที่กำลังมองหาระบบ HIS ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์เรื่องการเบิกจ่ายตามสิทธิ พวกเรา MEDcury มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญพร้อมสนับสนุนคุณและให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง สามารถพูดคุยหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDHIS กับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์มคลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.hfocus.org/
- เช็กลิสต์ 4 ฟีเจอร์ต้องมีในระบบ HIS มั่นใจปลอดภัยแน่นอน!
เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวการโจมตีทางไซเบอร์เพื่อโจรกรรมข้อมูลของโรงพยาบาล จนทำให้ระบบล่มเป็นเวลาหลายวัน และส่งผลกระทบต่องานบริการผู้ป่วย ทำให้การบริการเป็นไปอย่างล่าช้า นอกจากนี้กลุ่มแฮกเกอร์ยังปล่อยไวรัสเรียกค่าไถ่ (Ransomware) มูลค่ามหาศาลอีกด้วย! นี่ถือเป็นฝันร้ายของเหล่าโรงพยาบาลที่เก็บข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่การกลับไปบันทึกข้อมูลกระดาษด้วยการเขียน (Manual) อาจไม่ใช่วิธีแก้ไขปัญหาที่แท้จริง วันนี้ MEDcury จะพาไปดู 4 ฟีเจอร์พื้นฐานในระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (Hospital Information System) หรือ HIS ที่ขาดไม่ได้ เพื่อป้องกันอย่างแน่นหนา ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม มาเช็กไปพร้อม ๆ กันเลยว่าระบบ HIS ของคุณมีครบตามนี้หรือไม่..? 1. ฟีเจอร์การจำกัดสิทธิ์การเข้าใช้งานตามตำแหน่งหน้าที่ (Role-based Access Control : RBAC) ฟีเจอร์นี้เป็นการควบคุมการเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของระบบ HIS และจำกัดการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ตามสิทธิ์ที่ถูกกำหนดไว้ เช่น แพทย์มีสิทธิ์เข้าถึงเวชระเบียนทุกส่วนของผู้ป่วย ส่วนเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนมีสิทธิ์เข้าถึงเพียงประวัติส่วนตัวทั่วไปของผู้ป่วย แต่จะไม่สามารถเรียกดูข้อมูลเวชระเบียนทั้งหมดของผู้ป่วยได้ เป็นต้น 2. ฟีเจอร์การเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption) ฟีเจอร์นี้ถือเป็น A Must ในสมัยนี้ เพราะถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องข้อมูลของโรงพยาบาล เนื่องจากข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสจะปลอดภัยทั้งในขณะส่งต่อ หรือแม้แต่ตอนที่ไม่ได้ถูกใช้งานอยู่ นอกจากนี้แม้กลุ่มแฮกเกอร์จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ แต่การถอดรหัสนั้นก็ยากมาก ๆ จนแทบไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ 3. ฟีเจอร์การปิดข้อมูลคนไข้ (Anonymous Patient) ในบางครั้งโรงพยาบาลของคุณอาจจำเป็นต้องรองรับผู้ป่วยระดับ VIP หรือบุคคลที่ต้องให้การดูแลเป็นพิเศษ เช่น บุคคลระดับประเทศ หรือบุคคลที่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวได้ เนื่องจากเหตุร้ายแรง การเก็บข้อมูลของผู้ป่วยประเภทนี้จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ฟีเจอร์ Anonymous Patient จึงจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อควบคุมและจำกัดสิทธิ์ให้เฉพาะกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ฟีเจอร์นี้จะแตกต่างจากฟีเจอร์การจัดการสิทธิ์การเข้าใช้งานตามตำแหน่งหน้าที่ (Role-based Access Control : RBAC) ตรงที่แม้ว่าบุคลากรจะมีทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดียวกัน แต่หากไม่ได้ดูแลรับผิดชอบงานดูแลผู้ป่วยคนนี้โดยตรง แม้จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ แต่ก็จะไม่สามารถมองเห็นข้อมูลที่แท้จริงของผู้ป่วยได้ เช่น เห็นชื่อ-นามสกุลของผู้ป่วยเป็น ‘Anonymous Patient’ หรือ ‘XXXXX XXXXXX’ เป็นต้น 4. ฟีเจอร์การสำรองข้อมูลบนคลาวด์ (Cloud Backup) โดยปกติ โรงพยาบาลมักจะมี Onsite backup สำหรับสำรองข้อมูลของโรงพยาบาลกันอยู่แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่าสำรองข้อมูลแค่ทีเดียวแบบนี้ไม่ครบครันและยั่งยืนเพียงพอ ดังนั้นโรงพยาบาลควรเพิ่มความรัดกุมยิ่งขึ้นด้วยการสำรองข้อมูลแบบ Offsite บน Cloud ด้วย วิธีนี้นอกจากนี้จะช่วยกู้คืนความเสียหายหากถูกโจมตีทางไซเบอร์ แล้วยังสามารถกู้คืนความเสียหายจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างภัยธรรมชาติที่อาจกระทบต่อศูนย์จัดเก็บข้อมูลได้อีกด้วย นี่จึงเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาในระยะยาว MEDcury ขอแอบใบ้อีกด้วยว่าถ้าอยากให้การสำรองข้อมูลบน Cloud มีประสิทธิภาพสูงสุด ก็อย่าลืมสำรองข้อมูลบ่อย ๆ กันด้วยนะ เพื่อให้ข้อมูลอัปเดตเป็นปัจจุบันที่สุดนั่นเอง เป็นอย่างไรกันบ้าง.. ระบบ HIS ของคุณมีฟีเจอร์ครบทั้ง 4 ฟีเจอร์นี้กันรึเปล่า? ถ้าคำตอบคือใช่ ก็ถือว่าเยี่ยมไปเลย ส่วนใครที่มีไม่ครบทั้ง 4 ฟีเจอร์นี้ MEDcury ขอแนะนำให้พิจารณาอัปเกรดระบบ HIS ของคุณให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น หรือพิจารณาระบบ HIS ใหม่ ๆ ที่มีครบทั้ง 4 ฟีเจอร์นี้กัน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้สูงสุด MED-HIS ระบบสารสนเทศโรงพยาบาลที่คุณไว้วางใจได้ ระบบ MEDHIS และ MEDHIS Lite ถูกพัฒนาขึ้นตามหลัก Data Security เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลตามมาตรฐานสากล จึงมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่จำเป็นทั้ง 4 ทำให้สามารถจำกัดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลเฉพาะผู้ที่มีสิทธิ์เข้าถึงเท่านั้น และสำรองข้อมูลบน Cloud นอกจากนี้ยังมีการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุดอีกด้วย ทั้งบุคลากรของโรงพยาบาลและผู้ป่วยจึงสามารถทำงานได้อย่างมั่นใจและใช้บริการได้อย่างปลอดภัยและสบายใจ สนใจนำระบบ MEDHIS เข้ามาใช้ในโรงพยาบาลของคุณ ? ท่านใดที่สนใจ ระบบ MEDHIS ในการบริหารจัดการโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากผู้เชี่ยวชาญของ MEDcury ได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์ม คลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury
- MEDcury จับมือ "โรงพยาบาลยันฮี" ยกระดับเทคโนโลยีโรงพยาบาลสู่มาตรฐานสากล
MEDcury ร่วมมือกับ 2 บริษัทพันธมิตร เข้าร่วมพิธีลงนามสัญญากับโรงพยาบาลยันฮีในการพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลสำหรับธุรกิจโรงพยาบาล ภายใต้ระบบ “MEDHIS” ยกระดับระบบนิเวศสุขภาพ (Healthcare Ecosystem) และเทคโนโลยีโรงพยาบาลสู่มาตรฐานสากลอย่างยั่งยืน วันที่ 18 มีนาคม 2567 ณ ห้องประชุม Inter 1 ชั้น 14 โรงพยาบาลยันฮี โดยมีคุณจตุพล ชวพัฒนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดคิวรี จำกัด (ที่ 3 จากซ้าย) คุณสิรพันธ์ สินเจิมสิริ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท ทรีนิตี้ รูทส์ จำกัด (ที่ 2 จากซ้าย) และคุณศราวุฒิ จิตวิวัฒน์พร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสแคป โซลูชั่นส์ จำกัด (ทางซ้ายสุด) พร้อมกับคณะผู้บริหารของโรงพยาบาลยันฮี นำโดย พญ.สิรินทรา สัมฤทธิวณิชชา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลยันฮี (ที่ 3 จากขวา) ทพญ.สุชาวดี สัมฤทธิวณิชชา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและกรรมการบริหาร (ที่ 2 จากขวา) และ นพ.ธานินทร์ พันธุ์สุขผล ผู้อำนวยการ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (ทางขวาสุด) เข้าร่วมในพิธีลงนามสัญญาการพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลสำหรับธุรกิจโรงพยาบาล เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสู่โรงพยาบาลดิจิทัล (Digital Hospital) ในอนาคต บรรยายภาพ : บริษัท เมดคิวรี จำกัด (ภาพที่ 1) บริษัท ทรีนิตี้ รูทส์ จำกัด (ภาพที่ 2) และบริษัท เอสแคป โซลูชั่นส์ จำกัด (ภาพที่ 3) ความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ Digital Hospital การร่วมมือระหว่างบริษัท เมดคิวรี จำกัด บริษัท ทรีนิตี้ รูทส์ จำกัด บริษัท เอสแคป โซลูชั่นส์ จำกัด และ "โรงพยาบาลยันฮี" ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีด้าน Healthcare ของโรงพยาบาล ผลักดันการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น คุณภาพของการให้บริการ ประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรที่เกี่ยวข้องในโรงพยาบาล การบริหารงานโรงพยาบาลและการเชื่อมต่อข้อมูลจากแผนกต่าง ๆ ภายในโรงพยาบาล เพื่อยกระดับความสามารถของโรงพยาบาลสู่มาตรฐานสากล โดยตอกย้ำเป้าหมายของธุรกิจโรงพยาบาลในยุค Digital ในการสร้างความมั่นใจด้านการให้บริการที่เป็นเลิศและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบนิเวศสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการใช้ระบบบริหารจัดการข้อมูลสำหรับธุรกิจโรงพยาบาลภายใต้ระบบ "MEDHIS" จากบริษัท เมดคิวรี จำกัด สนใจนำระบบ MEDHIS เข้ามาใช้ในโรงพยาบาลของคุณ ? ท่านใดที่สนใจ ระบบ MEDHIS ในการบริหารจัดการโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากผู้เชี่ยวชาญของ MEDcury ได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์ม คลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury
- MEDcury x Softdebut ลงนามสัญญาตัวแทนจำหน่าย MEDHIS มุ่งยกระดับ Healthcare Technology ในประเทศไทย
บริษัท เมดคิวรี จำกัด จับมือลงนามความร่วมมือ Business Collaboration Agreement กับบริษัท ซอฟท์เดบู จำกัด ผู้นำเข้าและพัฒนาซอฟต์แวร์ชั้นนำระดับโลก และผู้จัดจำหน่ายซอฟต์แวร์ชั้นนำของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายสิทธิการใช้ซอฟแวร์ระบบบริหารจัดการข้อมูลสำหรับธุรกิจโรงพยาบาล (HIS) ภายใต้ระบบ “MEDHIS” อย่างเป็นทางการ พร้อมพัฒนาแนวทางเพื่อยกระดับ Healthcare Technology ในประเทศไทย และสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงทางการแพทย์ให้แก่ประชาชนในวงกว้าง คุณจตุพล ชวพัฒนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดคิวรี จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ บริษัท ซอฟท์เดบู จำกัด เพราะเป็นผู้นำทางด้านการนำเข้าซอฟต์แวร์และพัฒนาซอฟต์แวร์ระดับโลก ซอฟต์เดบูถือเป็นพาร์ทเนอร์ที่เมดคิวรีได้พยายามค้นหามาอย่างยาวนานและคัดสรรมาอย่างดี ด้วยทีมที่มีความสามารถของซอฟต์เดบู ตนจึงมีความมั่นใจในการมอบสิทธิ์ให้ดูแลและบริการซอฟต์แวร์ “MEDHIS” เพื่อขยายขอบเขตการใช้ซอฟต์แวร์นี้ไปทั้งในภาครัฐและเอกชน รวมถึงพัฒนาศักยภาพการให้บริการทางด้านสาธารณสุขทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น คุณพีรวีท์ จรัสสิริกุลชัย ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอฟท์เดบู จำกัด เผยว่า บริษัทฯ มีความมั่นใจในความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกับทาง บริษัท เมดคิวรี จำกัด ในครั้งนี้ โดยซอฟต์แวร์ “MEDHIS” นั้นได้ผ่านการคัดเลือกและคัดสรรมาแล้วว่าเป็นซอฟต์แวร์ที่ดี มีคุณภาพ และตอบโจทย์ธุรกิจ ตรงตามจุดมุ่งหมายของบริษัทฯ ที่ต้องการให้ลูกค้าได้ใช้ซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมนำพาธุรกิจมุ่งสู่ความสำเร็จ นอกจากนี้ซอฟต์เดบูยังมีอีกหนึ่งเป้าหมายคือเพื่อผลักดันและพัฒนาซอฟต์แวร์ของคนไทย และชี้ให้เห็นว่าซอฟต์แวร์ของคนไทยนั้นมีความสามารถและประสิทธิภาพไม่แพ้ชาติใดในโลก ระบบ MEDHIS คืออะไร? MEDHIS คือหนึ่งใน ระบบ Enterprise Solution สำหรับโรงพยาบาล ที่พัฒนาโดยบริษัท เมดคิวรี จำกัด โดยผสมผสานครอบคลุมทั้งระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (Hospital Information System : HIS) และระบบอื่น ๆ เพื่อแลกเปลี่ยน เชื่อมต่อ และวิเคราะห์ข้อมูลด้านสุขภาพ อาทิ ระบบ MEDConnext เพื่อการบริหารจัดการข้อมูลพร้อมคอนเนคเตอร์รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากหลากหลายช่องทาง และ หมอในบ้าน ระบบการแพทย์ทางไกลแบบใหม่ (Telemedicine) เพื่อเชื่อมต่อระหว่างโรงพยาบาลกับคนไข้ทั่วประเทศแบบ Real-Time เพื่อช่วยบริหารการจัดการภายในโรงพยาบาล รองรับความยืดหยุ่นและการทำงานผ่านออนไลน์ในยุคดิจิทัลนี้ พร้อมปรับเปลี่ยนองค์กรของคุณให้กลายเป็นโรงพยาบาลไร้กระดาษ (Paperless Hospital) ควบคู่กับการนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในปัจจุบัน ระบบ MEDHIS ถูกติดตั้งในโรงพยาบาลมากกว่า 25 แห่งทั่วประเทศไทย โดยมีผู้ป่วยใช้ระบบมากกว่า 3,500,000 คน พวกเรา MEDcury มั่นใจว่านวัตกรรมนี้สามารถตอบโจทย์การทำงานของโรงพยาบาลอย่างสูงสุด โดยพร้อมช่วยคุณยกระดับคุณภาพการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงทางการแพทย์ให้แก่ประชาชนอีกด้วย สนใจนำระบบ MEDHIS เข้ามาใช้ในโรงพยาบาลของคุณ ? ท่านใดที่สนใจระบบ MEDHIS ในการบริหารจัดการโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากผู้เชี่ยวชาญของ MEDcury ได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์มคลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury
- MEDcury เซ็นลงนาม Business Collaboration Agreement ร่วมกับ CNES-Consulting
บริษัท เมดคิวรี จำกัด ลงนามความร่วมมือ Business Collaboration Agreement กับบริษัท ซีเนส - คอนซัลติ้ง จำกัด เพื่อแต่งตั้ง เป็นตัวแทนจำหน่ายและติดตั้งซอฟแวร์ระบบบริหารจัดการข้อมูลสำหรับธุรกิจโรงพยาบาล (HIS) อย่างเป็นทางการ พร้อมขยายความร่วมมือทางธุรกิจสุขภาพอย่างรอบด้าน และร่วมพัฒนาโซลูชั่นเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมทางการแพทย์ประเทศไทย คุณจตุพล ชวพัฒนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดคิวรี จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมทางการแพทย์ และเล็งเห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างระบบสารสนเทศสำหรับโรงพยาบาล (HIS) เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการรองรับการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้ในอนาคต จึงมีการพัฒนา “MED-HIS” ระบบ HIS Cloud-base โดยบริษัทเมดคิวรี ที่มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น สามารถรองรับการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลภายในโรงพยาบาล ฐานข้อมูลต่างสาขา หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ ในอนาคตได้อย่างหลากหลาย อีกทั้งระบบยังได้ถูกออกแบบให้มีความปลอดภัย และปกป้องข้อมูลของคนไข้ภายใต้มาตรฐานระดับสากล และด้วยประสบการณ์การรวมถึงความเชี่ยวชาญในการเป็นที่ปรึกษาด้านซอฟแวร์ และการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพของซีเนส - คอนซัลติ้ง ตนจึงมีความมั่นใจและมุ่งหวังในการร่วมพัฒนาโซลูชั่นร่วมกันในอนาคต เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ คุณเอกพล ไกรครุฑี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเนส - คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวเสริม เนื่องด้วยบริษัทฯ มีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษา และติดตั้งระบบบริการสารสนเทศและแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ให้กับโรงพยาบาลและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชนมาอย่างยาวนาน จึงเล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาโซลูชั่นร่วมกับบริษัท เมดคิวรี จำกัดเพื่อรองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่รวมถึงการเชื่อมต่อระบบเข้ากับแอปพลิเคชั่นด้านสุขภาพต่าง ๆ ของบริษัท เพื่อรองรับนโยบายการให้บริการสาธารณสุขจากภาครัฐ โดยตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประสบการณ์ในการเป็นที่ปรึกษาด้านซอฟแวร์ของบริษัท ซีเนส - คอนซัลติ้ง จำกัดและทีมผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ MED-HIS จากบริษัท เมดคิวรี จำกัดจะสามารถร่วมพัฒนาโซลูชั่นเพื่อตอบสนองความต้องการในด้านเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมทางการแพทย์ในอนาคตได้อย่างแน่นอน MED-HIS คืออะไร? MED-HIS คือระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (Hospital Information System : HIS) ที่พัฒนาโดยบริษัท เมดคิวรี จำกัด โดยสามารถติดตั้งได้ทั้งแบบ On-Cloud และ On-Premise เพื่อรองรับความยืดหยุ่นและการทำงานผ่านออนไลน์ในยุคดิจิทัล รวมถึงรองรับการเชื่อมต่อข้อมูลจากต่างสาขา และการเชื่อมต่อข้อมูลเข้ากับระบบหรือฐานข้อมูลอื่น ๆ ทั้งจากหน่วยงานรัฐและเอกชน สนใจนำระบบ MEDHIS เข้ามาใช้ในโรงพยาบาลของคุณ ? ท่านใดที่สนใจระบบ MEDHIS ในการบริหารจัดการโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากผู้เชี่ยวชาญของ MEDcury ได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์มคลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury
- MEDcury จับมือ ‘มูลนิธิพงษ์ศักดิ์ วิทยากร - PRINC’ เปิดตัว ‘ล้ม Look’ ตัวช่วยตรวจจับผู้สูงอายุหกล้ม
เมื่อ 17 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การประชุม และแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ บริษัท เมดคิวรี จำกัด ร่วมกับมูลนิธิพงษ์ศักดิ์วิทยากร และโรงพยาบาลในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ พร้อมพันธมิตรภาคเอกชน เปิดตัวโครงการ ‘ล้ม Look’ Every Second We Care และอุปกรณ์ Smart Device ‘ล้ม Look’ สำหรับตรวจจับการพลัดตกหกล้ม และยังเป็นระบบติดตามผลข้อมูลด้านสุขภาพในผู้สูงอายุกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพและมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม ซึ่งจะนำร่องใน 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน และชุมพร ภายในงานนี้ ได้รับเกียรติจากนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ฯลฯ ร่วมชมการสาธิตอุปกรณ์ Smart Device ‘ล้ม Look’ สำหรับตรวจจับการพลัดตกหกล้มในครั้งนี้ด้วย 'ล้ม Look' นวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุ คุณพวัสส์ ธนวุฒิศิรวัชร์ ผู้อำนวยการบริหารความสัมพันธ์และพันธมิตร (Executive Relationship Director) บมจ.พริ้นซิเพิล แคปิตอล หรือ PRINC ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการโรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจสุขภาพในนาม ‘เครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์’ กล่าวว่า ผลกระทบที่ตามมาของการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบคือมีผู้สูงอายุที่ประสบอุบัติเหตุพลัดตกหกล้มเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 4 - 5 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น การพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุถือเป็นอุบัติเหตุที่พบบ่อย อีกทั้งยังมีความรุนแรงมากกว่าในคนทั่วไป และมักส่งผลกระทบต่ออวัยวะอื่น ๆ เช่น กระดูกสะโพกหัก ศีรษะแตก มีเลือดออกในสมอง ที่อาจนำไปสู่ภาวะทุพพลภาพ นอนติดเตียง หรือบางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิต หากไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้นเพื่อลดความรุนแรงและความสูญเสียที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ จึงสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้ป่วย กับหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินของแต่ละสถานพยาบาล กู้ชีพกู้ภัย ผ่านอุปกรณ์ Smart Device ‘ล้ม Look’ ภายใต้แพลตฟอร์ม ‘หมอในบ้าน’ เพื่อให้ผู้สูงอายุที่ประสบเหตุเข้าถึงบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินโดยทันที การทำงานของ 'ล้ม Look' กรณีที่ผู้สูงอายุเกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม อุปกรณ์ Smart Device ‘ล้ม Look’ จะทำการส่งข้อมูลสุขภาพไปยังผู้ที่ลงทะเบียนไว้ (ญาติ) และ แพลตฟอร์ม ‘หมอในบ้าน’ ซึ่งประมวลผลได้อย่างแม่นยำ และส่งต่อข้อมูลไปยังศูนย์รับข้อมูลเหตุฉุกเฉิน (Alert Center) ในโครงการ ‘ล้ม Look’ Every Second We Care นำร่องในโรงพยาบาลในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ลำพูน จ.ลำพูน และโรงพยาบาลวิรัชศิลป์ จังหวัดชุมพร ตั้งเป้าขยายศูนย์รับข้อมูลเหตุฉุกเฉิน (Alert Center) ไปยังโรงพยาบาลในเครือฯ ให้ครบทั้ง 13 แห่งใน 11 จังหวัดในปี 2567” คุณพวัสส์กล่าว นำร่องใช้นวัตกรรม ‘ล้ม Look’ ใน 3 จังหวัด และพร้อมขยายขอบเขตการให้บริการ คุณจตุพล ชวพัฒนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer) บริษัท เมดคิวรี จำกัด (MEDcury) บริษัทผู้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) และนวัตกรรมด้านสุขภาพ ภายใต้แพลตฟอร์ม “หมอในบ้าน” กล่าวว่า โครงการ “ล้ม Look” Every Second We Care ในเฟสแรกจะเปิดรับสมัครผู้สูงอายุที่เข้าเกณฑ์ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และชุมพร ประมาณเดือนเมษายน 66 ผ่านทาง www.lomlook.com/ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย “ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเปิดรับพันธมิตร ทั้งนักลงทุน ภาครัฐและเอกชน สถานพยาบาล รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขยายพื้นที่และศักยภาพในการดูแลและให้บริการกับผู้สูงอายุในแต่ละพื้นที่ เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุได้รับการช่วยเหลือฉุกเฉินอย่างทันท่วงที ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหนัก หรือเสียชีวิตได้ และยังเป็นการลดงบประมาณสาธารณสุขของประเทศในระยะยาวด้วย ซึ่งประชาชนหรือพันธมิตรภาคเอกชนที่สนใจร่วมโครงการดังกล่าว สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.lomlook.com” คุณจตุพลกล่าวทิ้งท้าย