
ผลลัพธ์การค้นหา
พบผลการค้นหา 48 รายการ
- Data Warehouse, Data Mart และ Data Mart Catalog คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร มีประโยชน์อย่างไรกับธุรกิจ
ธุรกิจไหนที่ต้องการทำ Business Intelligence, Data Analytics, Data Science หรือ Machine Learning บอกเลยว่า “แหล่งเก็บข้อมูล” เป็นหนึ่งในสิ่งที่ธุรกิจจะขาดไปไม่ได้เลย วันนี้ MEDcury เลยจะพาทุกคนไปรู้จักกับ 3 รูปแบบแหล่งเก็บข้อมูลที่สำคัญ ได้แก่ Data Warehouse, Data Mart และ Data Mart Catalog บอกเลยว่าอ่านบทความนี้จบครบทุกประเด็นแน่นอน และพวกเรา MEDcury ยังมีแนวทางการนำ 3 เทคโนโลยีไปใช้สำหรับธุรกิจโรงพยาบาลโดยเฉพาะด้วย ไปดูกันเลย Data Warehouse คืออะไร? Data Warehouse หรือคลังข้อมูล คือฐานเก็บข้อมูลส่วนกลางที่เก็บรวบรวมชุดข้อมูล (Dataset) ทั้งหมดของธุรกิจจากหลาย ๆ แหล่งมาไว้ในที่เดียว โดยชุดข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการทำ Business Intelligence และ Machine Learning จากที่กล่าวมา Data Warehouse อาจจะดูเหมือนเป็นแค่พื้นที่เก็บเฉย ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นฐานข้อมูลเชิงวิเคราะห์ที่มีระบบประมวลผลและหน่วยความจำที่สำคัญอยู่ ซึ่งช่วยในการสืบค้น การวิเคราะห์ และการสร้างรายงานที่มีความซับซ้อนได้ Data Mart คืออะไร? Data Mart หรือตลาดข้อมูล ถือเป็นซับเซตของ Data Warehouse กล่าวคือในขณะที่ Data Warehouse รวบรวมข้อมูลระดับบริษัทเอาไว้ แต่ Data Mart จะโฟกัสเฉพาะข้อมูลในสายงานด้านธุรกิจเท่านั้น เช่น การเงิน การขาย การตลาด เป็นต้น ทำให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเหล่านี้พร้อมใช้งานสำหรับผู้ใช้งานที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ต้องเสียเวลานานในการค้นหาหรือคำนวณผ่าน Data Warehouse ความแตกต่างของ Data Warehouse และ Data Mart Data Warehouse และ Data Mart ต่างก็เป็นพื้นที่เก็บข้อมูลที่สำคัญ แต่ทั้ง 2 พื้นที่นี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้งานที่แตกต่างกันนั่นเอง โดยความแตกต่างของ 2 สิ่งนี้ มีดังนี้ 1. จุดประสงค์ของการสร้าง Data Warehouse ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรวบรวมข้อมูลระดับองค์กรจากหลาย ๆ แหล่งมารวมไว้ในคลังข้อมูลส่วนกลางที่เดียว เพื่อรองรับการทำ Data Mining, Artificial Intelligence และ Machine Learning Data Mart ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเจาะจงเฉพาะ Dataset ขนาดเล็กที่มีความสำคัญและจำเป็นสำหรับแผนกใดแผนกหนึ่งหรือกลุ่มที่ถูกเลือกเท่านั้น 2. ประเภทของข้อมูลที่ถูกจัดเก็บ Data Warehouse จัดเก็บข้อมูลระดับองค์กรที่มีขอบเขตกว้างกว่าข้อมูลที่ถูกจัดเก็บใน Data Mart Data Mart จัดเก็บข้อมูลระดับแผนก กลุ่ม หรือทีม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสายงานด้านธุรกิจโดยเฉพาะ 3. ประโยชน์ Data Warehouse ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการประมวลผลแบบ On-Line Transaction Processing (OLTP) นอกจากนี้การมี Data Warehouse ยังช่วยให้คุณสามารถรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งมาทำการวิเคราะห์ได้ด้วย Data Mart ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสายงานด้านธุรกิจสามารถค้นหาข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นการประหยัดพื้นที่เก็บข้อมูล และมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่น้อยกว่า Data Warehouse แบบเต็มรูปแบบ องค์กรควรเลือกสร้าง Data Warehouse หรือ Data Mart? จริง ๆ แล้วคำถามนี้ไม่มีคำตอบที่ตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ขององค์กรของคุณในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ทรัพยากร เป้าหมาย และงบประมาณ อย่างไรก็ตามในบทความนี้ เรามีแนวทางในการเริ่มต้นนำ Data Warehouse และ Data Mart มาใช้ในองค์กรมาฝากด้วย เริ่มต้นนำ Data Warehouse และ Data Mart มาใช้ในองค์กรอย่างไร? ก่อนอื่นเลยคุณต้องถามตัวเองก่อนว่าคุณจำเป็นต้องมีแหล่งจัดเก็บข้อมูลจริง ๆ ใช่ไหม หากคำตอบคือใช่ คุณต้องระบุถึงแหล่งข้อมูล ขนาด และอัตราการเติบโตของมัน รวมถึงระบุว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ เพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์และวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน มีทรัพยากรและงบประมาณที่พร้อมแล้ว คุณก็สามารถเริ่มทดลองกับทั้ง Data Warehouse และ Data Mart เพื่อดูว่าอันไหนเหมาะกับองค์กรของคุณมากที่สุด เราขอแนะนำให้เริ่มต้นทดสอบความเป็นไปได้นี้จากการใช้เซตข้อมูลย่อยเล็ก ๆ โฮสต์บน On-Premise Hardware หรือ On-Cloud ก่อน เมื่อเทคโนโลยีเป็นรูปเป็นร่าง และมีประสิทธิภาพตามที่ต้องการแล้ว คุณก็สามารถขยายผลการติดตั้งอย่างเต็มรูปแบบต่อไปได้ Data Mart Catalog การบูรณาการระหว่าง Data Warehouse และ Data Mart การรวมกันระหว่าง Data Warehouse และ Data Mart จะทำให้เราได้ Data Mart Catalog ซึ่งถือเป็นสุดยอดเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทันสมัยที่ช่วยให้องค์กรสามารถใช้ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ได้อย่างสะดวกในระยะเวลาอันรวดเร็ว Data Mart Catalog มีประโยชน์กับโรงพยาบาลอย่างไร? การใช้ Data Mart Catalog ในโรงพยาบาลมีประโยชน์ทั้งในด้านการรักษาผู้ป่วย รวมถึงการบริหารงานโรงพยาบาล ดังนี้ 1. ประโยชน์ของ Data Mart Catalog ต่อการรักษาผู้ป่วย Data Mart Catalog จะช่วยวิเคราะห์ EMR อย่างมีประสิทธิภาพ และนำเสนอข้อมูลเชิงลึกแบบ 360 องศาเกี่ยวกับผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำ ตลอดจนสามารถนำเสนอการวินิจฉัยเชิงป้องกันและคำแนะนำเกี่ยวกับสุขภาพได้อีกด้วย 2. ประโยชน์ของ Data Mart Catalog ต่อการบริหารงานโรงพยาบาล Data Mart Catalog จะช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงเห็นภาพรวมเชิงลึกของความสามารถและประสิทธิภาพของโรงพยาบาลในด้านต่าง ๆ เช่น การให้บริการ การใช้ทรัพยากร การสื่อสารกับลูกค้า เป็นต้น ผ่าน KPI Dashboard รวมถึง Executive Summary เพื่อช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงสามารถบริหารโรงพยาบาลได้อย่างชาญฉลาดจากการใช้ประโยชน์จากข้อมูล หรือที่เรียกว่า ”การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล” (Data-Driven Decision) นั่นเอง เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับเทคโนโลยีเหล่านี้ น่าสนใจสุด ๆ เลยใช่ไหมล่ะ ที่ MEDcury เราได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในการสร้างนวัตกรรม MEDconnext แพลตฟอร์มข้อมูลที่จะเข้ามาช่วยในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสุขภาพระหว่างโรงพยาบาลและการบริหารจัดการโรงพยาบาลให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ MEDconnext จึงเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่จะมอบประสบการณ์ในการทำงานในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดให้แก่คุณเท่าที่จะเป็นไปได้ สำหรับผู้สนใจนวัตกรรม MEDconnext สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์ม คลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.ibm.com/cloud/learn/data-mart https://www.infoworld.com/article/3629889/what-is-a-data-warehouse-the-source-of-business-intelligence.html
- ปรับตัวกับสังคมผู้สูงอายุ: การพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วย National Health Information System
ในปัจจุบันหลาย ๆ ประเทศได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นเดียวกัน โดยประชากรผู้สูงอายุในปี 2565 นี้นั้นมีมากถึง 12.1 ล้านคน หรือคิดเป็น 18.3% ของประชากรทั้งหมดเลยทีเดียว สิ่งสำคัญที่สุดของผู้สูงอายุคือการดูแลสุขภาพ แต่รู้หรือไม่ ? ว่าผู้สูงวัยส่วนใหญ่ในประเทศไทยกลับไม่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่ดีได้ อย่างไรก็ตามเราสามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่ผู้สูงอายุได้ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หนึ่งในนั้นก็คือ “การจัดตั้งระบบจัดการข้อมูลสุขภาพแห่งชาติ (National Health Information System : NHIS)” National Health Information System คืออะไร? ระบบจัดการข้อมูลสุขภาพแห่งชาติ หรือ National Health Information System (NHIS) เป็นฐานข้อมูลระดับชาติที่จัดเก็บระเบียนสุขภาพของผู้สูงอายุรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แบบ Real-Time เช่น ข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลระบบประกันสุขภาพ ข้อมูลการแพ้ยา ประวัติการเป็นโรค ประวัติการรักษาโรค ประวัติการใช้ยา และประวัติการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล อีกทั้งข้อมูลอื่น ๆ เป็นต้น ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บบนแพลตฟอร์มนี้จะสามารถแบ่งปันให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ นอกจากนี้ยังมีการเก็บรวบรวมไปถึงข้อมูลของผู้ให้บริการด้านสุขภาพและสถานพยาบาลอีกด้วย สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูล National Health Information System อย่างไรได้บ้าง? สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อช่วยสนับสนุนให้การดูแลรักษามีความต่อเนื่องและพัฒนาคุณภาพของการดูแลรักษา ข้อมูลเหล่านี้จะกลายเป็น Big Data ที่สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานของภาครัฐในการป้องกันโรค รวมถึงการวางแผนเชิงนโยบายต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ มีแค่ National Health Information System แล้วสามารถทำได้ทุกอย่างเลยหรือไม่? จริง ๆ แล้ว NHIS เป็นเพียงฐานข้อมูลเท่านั้น ดังนั้นนอกจากการจัดทำ NHIS แล้ว ยังต้องมีการจัดทำ Medical Portal สำหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพด้วย เพื่อให้ผู้ให้บริการด้านสุขภาพสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ของผู้ป่วยเพื่อประกอบการวินิจฉัยและรักษา และเพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถติดต่อสื่อสารกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความชำนาญพิเศษ แม้จะไม่ได้อยู่โรงพยาบาลเดียวกันก็ตาม สิ่งนี้จะนำไปสู่กาารวินิจฉัยและรักษาที่ดีที่สุดต่อผู้สูงอายุนั่นเอง นอกจากนี้ยังต้องมีการพัฒนา Patient Portal ด้วย เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าดูและอัปเดตข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองให้เป็นปัจจุบันได้ตลอดเวลา และผู้สูงอายุหรือผู้ดูแลสามารถใช้ Patient Portal นี้ในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงพยาบาลและแพทย์ที่อยู่บนระบบเพื่อเลือกผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่เหมาะสมกับตนเอง รวมถึงทำการนัดหมายได้โดยตรง ทั้งนี้ยังสามารถใช้ Patient Portal พื่อเป็นช่องทางในการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโรคและคำแนะนำในการดูแลสุขภาพที่ถูกต้องและเหมาะสมให้แก่ผู้สูงอายุได้อีกด้วย ทำไมการพัฒนาระบบ National Health Information System จึงสำคัญกับประเทศไทย? NHIS ถือเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญต่อวงการสาธารณสุขไทย เนื่องจากเป็นหนทางที่สามารถแก้ไขปัญหาการเข้าถึงการบริการทางด้านสุขภาพของผู้สูงอายุได้ เพราะผู้สูงวัยในประเทศไทยเกินกว่าครึ่งอาศัยอยู่ในเขตชนบทที่มีบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอหรือในบางพื้นที่อาจไม่มีสถานพยาบาลใกล้ ๆ เลยด้วยซ้ำ ผู้สูงอายุหลายคนจึงจำเป็นต้องเดินทางเข้าไปในตัวเมืองหรือต่างจังหวัดเพื่อพบแพทย์เฉพาะทาง อย่างไรก็ตามในการเดินทางแต่ละครั้งนั้นยากลำบากมาก เนื่องจากสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย ผู้สูงอายุบางคนอาจต้องใช้ระยะเวลาเดินทางไกลหลายชั่วโมงหรือเป็นวัน มานอนรอหน้าโรงพยาบาล เพื่อให้ทันรอรับบัตรคิวในการเข้าพบแพทย์เพียงแค่ไม่กี่นาที นอกจากนี้ผู้สูงอายุบางส่วนยังมีฐานะยากจน และไม่สามารถพึ่งพาตนเอง กลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่ประสบปัญหารุนแรงที่สุดในการเข้าถึงบริการทางสาธารณสุข เพราะนอกจากปัจจัยทางกายภาพแล้ว ยังมีเรื่องฐานะที่ไม่เอื้ออำนวยอีก ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ผู้สูงอายุหลายคนต้องเลื่อนหรือยกเลิกการเข้าพบแพทย์และการตรวจสุขภาพบ่อยครั้ง การมี NHIS จึงสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูงอายุได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (NCDs) ที่ต้องมีการพบแพทย์เพื่อติดตามผลอยู่ตลอด เช่น ลูกหลานของผู้สูงอายุหรือตัวผู้สูงอายุเองสามารถอัปเดตข้อมูลเรื่องค่าความดันโลหิตหรือค่าน้ำตาลในเลือดประจำวันที่วัดเอง จำนวนแคลอรีที่ได้รับในแต่ละวัน หรือข้อมูลการออกกำลังกายเข้าไปในระบบ เมื่อแพทย์เห็นข้อมูลเหล่านี้ก็จะสามารถปรับเปลี่ยนการให้ยาได้ตามความเหมาะสมโดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ความท้าทายในการใช้ระบบ National Health Information System ในประเทศไทย มีหลายความท้าทายที่อาจส่งผลต่อการเข้าถึงและใช้งาน NHIS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบโทรคมนาคมที่ยังไม่ครอบคลุมในบางพื้นที่ ฐานะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตหรือสมาร์ทโฟน รวมไปถึงความไม่คุ้นชินในการใช้เทคโนโลยีของผู้สูงอายุ ดังนั้นในส่วนนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนทั้งรัฐและเอกชน เพื่อผลักดันและสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการ NHIS ได้มากขึ้น รวมถึงครอบครัวของผู้สูงอายุควรช่วยชี้แนะวิธีการใช้งานเพื่อสร้างความคุ้นชินในการใช้เทคโนโลยีให้แก่ผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน ตัวอย่างความสำเร็จของการพัฒนาฐานข้อมูลประวัติผู้ป่วยระดับชาติ ในสิงคโปร์ก็ได้ประสบกับปัญหาจำนวนประชากรสูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ สิงคโปร์จึงมีการจัดทำฐานข้อมูลประวัติผู้ป่วยอิเล็กทรอนิกส์ในระดับประเทศ (National Electronic Health Record : NEHR) ขึ้นมา ซึ่งเปิดให้ผู้ให้บริการด้านสุขภาพในระดับต่าง ๆ สามารถเข้าถึงได้ ยกตัวอย่างเช่น พยาบาลในบ้านพักคนชราสามารถแก้ไขข้อมูลทางสุขภาพของผู้ป่วยสูงอายุในระบบให้เป็นปัจจุบัน และแพทย์ในโรงพยาบาลเฉพาะทางสามารถที่จะเข้าถึงข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเหล่านั้นได้ทันที และตัดสินใจปรับเปลี่ยนการให้ยาได้ตามความเหมาะสมโดยที่ผู้ป่วยคนดังกล่าวไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล นอกจากนี้สิงคโปร์ยังได้จัดทำ Patient Portal ในชื่อ HealthHub เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าดูและอัปเดตประวัติสุขภาพของตนเอง และเพื่อให้คนสิงคโปร์กระตือรือร้นในการดูแลตัวเองสุขภาพของตนเองเพิ่มมากขึ้น จึงมีการให้คำแนะนำด้านสุขภาพผ่าน HealthHub นี้ รวมถึงมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพและแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่สามารถดาวน์โหลดเพื่อนำมาใช้ดูแลสุขภาพอีกด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ HealthHub ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน โดย 90% รายงานว่าคุณภาพการให้บริการดีขึ้นหลังจากมีระบบ NEHR และ 87% ก็เต็มใจที่จะกรอกข้อมูลส่วนตัวเข้าระบบนี้ด้วย สำหรับใครที่อยากพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านสุขภาพ สามารถพูดคุยกับพวกเรา MEDcury ได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์ม คลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury อ้างอิงข้อมูลจาก https://www-file.huawei.com/-/media/CORPORATE/PDF/market-trends/thailand_%20digitalization_%20whitepaper_thai.pdf?la=en https://stat.bora.dopa.go.th/stat/statnew/statMenu/newStat/home.php
- HIS On-Premise VS HIS On-Cloud: ข้อดีข้อเสียที่โรงพยาบาลต้องรู้
Health Information System หรือระบบ HIS ถือเป็นแหล่งเก็บรวบรวมข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ จำนวนมหาศาลของโรงพยาบาลเอาไว้ การที่โรงพยาบาลจะเก็บข้อมูลเหล่านี้ได้แสดงว่าโรงพยาบาลจำเป็นต้องมีระบบ IT Server ที่ดี แต่การเลือกลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที หรือ IT Infrastructure ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทางโรงพยาบาลจำเป็นต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้การลงทุนนั้นเป็นไปอย่างคุ้มค่าและตอบโจทย์กับการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด วันนี้ MEDcury จะพาไปดูความแตกต่างระหว่างระบบ HIS 2 รูปแบบ จะเป็นอย่างไรบ้าง ? ไปดูกันเลย HIS On-Premise คืออะไร? HIS On-Premise สามารถเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า HIS On-Prem เป็นระบบ HIS ที่อยู่บนระบบ IT Server ที่ระบบจะตั้งอยู่ที่สถานที่ (Site) ของโรงพยาบาลเอง ทางโรงพยาบาลจึงต้องรับผิดชอบในการดูแลบำรุงรักษาระบบทั้งหมดด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็น Software หรือ Hardware ก็ตาม HIS On Cloud คืออะไร? HIS On Cloud เป็นระบบ HIS ที่อยู่บนระบบภายใต้การดูแลของผู้ให้บริการ (Cloud Service Provider) ซึ่งโรงพยาบาลสามารถเลือก Resource ได้แก่ CPU, RAM, HDD, Network และ Security ที่ต้องการใช้ได้เอง แล้วสามารถใช้งาน HIS ผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้เลย นอกจากนี้ผู้ให้บริการจะเป็นผู้ดูแลรักษา Software และ Hardware ให้อีกด้วย 8 ด้านความแตกต่างระหว่าง HIS On-Premise กับ HIS On Cloud 1. ด้านต้นทุน การลงทุนใน HIS On-Premise นั้นต้อง ลงทุนโดยใช้เงินทุนก้อนใหญ่ เพราะโรงพยาบาลจำเป็นต้องติดตั้งทั้ง Software และ Hardware ซึ่งต้องมีการประเมินสเปคเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในระยะยาว นอกจากนี้การใช้ระบบ HIS On-Premise นั้นไม่ใช่แค่การลงทุนซื้อเครื่องมืออย่างเดียวแล้วจบ แต่ ยังมีต้นทุนแฝงอยู่อีกมากมาย เช่น ต้นทุนในบริหารจัดการด้านบุคคลเพื่อรับผิดชอบในงานดูแลบำรุงรักษาระบบ และต้นทุนในการบริหารทรัพยากรอื่น ๆ เช่น พลังงานไฟฟ้า สถานที่ เป็นต้น การลงทุนใน HIS On Cloud นั้นมีลักษณะเป็นการ จ่ายค่าเช่าตาม Resource ที่ใช้ (Pay-as-you-go) ซึ่งจะมีการคิดค่าใช้จ่ายเป็นรายชั่วโมงตามการใช้งาน แล้วจ่ายเป็นรายเดือน ส่วนการดูแลบำรุงรักษาระบบ Hardware และ Software นั้นเป็นหน้าที่ของ Cloud Service Provider ที่จะต้องอัปเดตให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา 2. ด้านการบริหารจัดการด้านบุคคลในการดูแลระบบ หากโรงพยาบาลเลือกใช้ HIS On-Premise โรงพยาบาล จำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไอทีด้านต่าง ๆ เช่น Data Admin, Data Infrastructure, Data Security เป็นต้น เพื่อรับผิดชอบทำหน้าที่ในการดูแลบำรุงรักษาระบบอยู่เสมอ การเลือกใช้ HIS On Cloud นั้นโรงพยาบาล ไม่จำเป็นต้องมีบุคลากรด้านไอทีจำนวนมาก ขอเพียงบุคลากรที่รับผิดชอบในการดูแลระบบ Cloud ของโรงพยาบาลนั้นต้องมีความรู้และความเข้าใจ Architecture โดยรวม 3. ด้านการเข้าถึงระบบ HIS On-Premise นั้นจะสามารถ เข้าถึงได้ตามรูปแบบที่ตั้งค่าเอาไว้เท่านั้น HIS On Cloud สามารถ เข้าถึงได้จากทุกที่ ทุกเวลา 4. ด้านเทคโนโลยีและเครื่องมือที่สามารถใช้ได้ HIS On-Premise จะสามารถ ใช้งานเครื่องมือและเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้ตามเวอร์ชันและลิขสิทธิ์ที่ได้ซื้อไว้ในตอนแรกเท่านั้น HIS On Cloud จะสามารถ ปรับเปลี่ยนและเลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดได้ตลอด 5. ด้านการบริหารความปลอดภัย ความปลอดภัยของ HIS On-Premise นั้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบระบบโดยบุคลากรผู้ดูแลระบบ HIS On Cloud จะ มีฟังก์ชันสังเกตการณ์ (Monitor) คอยทำงานอยู่แล้ว หากพบสิ่งผิดปกติก็จ ะมีการแจ้งเตือนอัตโนมัติ 6. ด้านการบำรุงรักษาระบบ การใช้ HIS On-Premise จำเป็นต้องมี Maintenance Service Agreement (MA) ในส่วนของ Hardware ซึ่งเป็นบริการดูแลและบำรุงรักษาอุปกรณ์ใช้งานต่าง ๆ เพื่อให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ตลอดเวลา ทาง โรงพยาบาลจะต้องจ่ายค่าบำรุงรักษาในส่วนนี้ตามรอบในสัญญา ที่โดยปกติจะอยู่ที่ 3-5 ปี ไม่เกี่ยวกับต้นทุนของตัวระบบที่จ่ายไปในการติดตั้งครั้งแรก หากครบ 3-5 ปีแล้ว โรงพยาบาลก็ต้องมาตัดสินใจว่าจะต่อ MA หรือไม่ การใช้ HIS On Cloud โรงพยาบาลไม่ต้องจ่ายค่าบำรุงรักษา เนื่องจากค่าใช้จ่ายนั้นครอบคลุมไปถึงการบำรุงรักษาระบบแล้ว 7. ด้านความคล่องตัวและยืดหยุ่น HIS On-Premise นั้นควรใช้ระบบตามสเปคหรือเวอร์ชันหรือลิขสิทธิ์ที่ได้ซื้อไว้ในตอนแรก แม้ว่าจริง ๆ ระบบจะ สามารถปรับเพิ่มลด Resource ได้ แต่ก็ทำได้ยากและใช้เวลานาน ในบางกรณีโรงพยาบาลอาจจำเป็นต้องซื้อ Hardware เพิ่มด้วย ซึ่งหมายถึงโรงพยาบาลจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง HIS On Cloud สามารถปรับลดหรือเพิ่มขนาด Resource หรือเครื่องมือต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ ของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอด 8. ด้านความเสี่ยงที่ต้องแบกรับ HIS On-Premise นั้นมีระบบที่ติดตั้งอยู่ที่สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง โรงพยาบาลจึง ต้องแบกรับความเสี่ยงในกรณีที่เกิดเหตุสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม ภัยพิบัติทางธรรมชาติต่าง ๆ รวมถึงโรคระบาด ที่อาจทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้ามาใช้งานระบบได้ตามปกติ รวมถึงอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับข้อมูลบนระบบ การใช้ HIS On Cloud นั้นจำเป็นต้องอาศัยอินเทอร์เน็ต ดังนั้นโรงพยาบาลจึง ต้องแบกรับความเสี่ยงในกรณีที่เกิดปัญหาทางด้านอินเทอร์เน็ต เช่น เน็ตล่มจนไม่สามารถเข้าถึง Cloud Server ของผู้ให้บริการได้ เป็นต้น ทั้งหมดนี้คือความแตกต่างของ HIS ทั้ง 2 รูปแบบ ซึ่งโรงพยาบาลควรจะเลือกใช้แบบไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมกับการทำงานขององค์กรของคุณ ทั้งนี้โรงพยาบาลอาจพิจารณาใช้งานระบบ HIS แบบผสมผสาน (Hybrid Cloud) ได้เช่นกัน กล่าวคือการแบ่งงานบางส่วนใช้บน On-Premise และงานอีกส่วนใช้บน On Cloud เพื่อความยืดหยุ่นในการใช้งานที่มประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเอง MEDcury ผู้พัฒนาระบบ MEDHIS MEDcury เราพัฒนาระบบ MEDHIS ระบบสารสนเทศโรงพยาบาลที่สามารถติดตั้งได้ทั้งแบบ On-Cloud และ On-Premise เพื่อรองรับความยืดหยุ่นและการทำงานผ่านออนไลน์ในยุคดิจิทัล รวมถึงรองรับการเชื่อมต่อข้อมูลจากต่างสาขา และการเชื่อมต่อข้อมูลเข้ากับระบบหรือฐานข้อมูลอื่น ๆ ทั้งจากหน่วยงานรัฐและเอกชน สนใจนำ MEDHIS เข้ามาใช้ในองค์กร? MEDcury เราพร้อมให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ สามารถพูดคุยหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบ MEDHIS กับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์ม คลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury
- ทำความรู้จัก Teletriage: อนาคตของการคัดกรองผู้ป่วยทางออนไลน์
บุคลากรทางการแพทย์คงรู้กันดีว่ามีหลายครั้งที่ผู้ป่วยมาที่แผนกฉุกเฉิน รอคอยเป็นระยะเวลานาน แต่สุดท้ายก็ต้องกลับบ้านไปแบบไม่ได้รับการรักษา หรือยิ่งในยุคโควิด-19 เช่นนี้ เราไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงอะไรบ้าง ดังนั้นจะดีกว่าไหมถ้าเรามีเทคโนโลยีที่สามารถช่วยให้เราสามารถตรวจคัดกรองความเสี่ยงหรือความฉุกเฉินของผู้ป่วยได้ก่อน เพื่อให้ผู้ป่วยรับทราบความเสี่ยงของตนเองก่อนเดินทางมาโรงพยาบาล วันนี้ MEDcury จะพาทุกคนไปรู้จักกับเทคโนโลยี Teletriage ตัวช่วยประเมินความเสี่ยงและความฉุกเฉินของผู้ป่วยก่อนเดินทางมาโรงพยาบาล Teletriage คืออะไร? Teletriage คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ช่วยในการตรวจคัดกรองผู้ป่วยด้วยการประเมินความเสี่ยงจากทางไกล ไม่ว่าจะผ่านทางวิดีโอคอล หรือรูปแบบอื่น ๆ ทำให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถประเมินความเสี่ยง แนะนำช่องทางการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม และกำหนดเวลานัดหมาย เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาลในเคสที่ไม่มีความเสี่ยง รวมถึงเพื่อที่บุคลากรทางการแพทย์จะได้เตรียมความพร้อมก่อนที่ผู้ป่วยจะเดินทางมาถึงโรงพยาบาล ส่อง 5 ประโยชน์ของ Teletriage สำหรับโรงพยาบาล 1. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ 2. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการความหนาแน่นของผู้ป่วย 3. ช่วยลดความแออัดในสถานพยาบาล 4. ช่วยพัฒนาคุณภาพของการบริการ 5. ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของผู้ป่วย 4 ประโยชน์ของ Teletriage ต่อบุคลากรทางการแพทย์ 1. ช่วยให้แพทย์ประจำแผนกฉุกเฉินได้มุ่งเน้นการรักษาไปที่ผู้ป่วยฉุกเฉินอย่างแท้จริง 2. ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการรักษาให้กับบุคลากรทางการแพทย์ 3. ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดต่อให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ 4. ช่วยให้บริการตามอาการของผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที 3 ประโยชน์ของ Teletriage ต่อผู้ป่วย 1. ได้รับทราบความเสี่ยงของตนเองก่อนเดินทางมาถึงโรงพยาบาล 2. ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ว่าจะจากการเดินทางหรือการนั่งรอคิวนาน ๆ เพื่อรับการรักษาที่โรงพยาบาล 3. ได้รับการดูแลในระดับที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที ประโยชน์และประสิทธิภาพของการใช้ Teletriage ในการทำงานจริง สำหรับประสิทธิภาพของ Teletriage นั้น MEDcury ขอยกตัวอย่างจากเครือโรงพยาบาล Jefferson Health ของมหาวิทยาลัย Thomas Jefferson University ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทาง Senior Vice President ด้านนวัตกรรมสุขภาพของมหาวิทยาลัยได้ออกมาพูดว่า ในช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 เทคโนโลยีนี้ช่วยลดอัตราการมาที่แผนกฉุกเฉินแต่ไม่ได้รับการรักษาให้เหลือน้อยกว่า 1% ได้ รวมไปถึงเมื่อมีเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เทคโนโลยีนี้ก็ยังช่วยเพิ่มความสามารถให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในการแยกกลุ่มผู้ป่วยและเตรียมการป้องกัน โดยเฉพาะกับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงว่าอาจเป็นโรคติดต่อ สำหรับผู้ป่วยของเครือโรงพยาบาล Jefferson Health นั้นใช้เวลารอคอยทำ Teletriage เฉลี่ยเพียง 9 นาทีเท่านั้น ซึ่งช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เพราะในผู้ป่วยฉุกเฉินก็ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที ส่วนผู้ป่วยที่ไม่ฉุกเฉินก็ไม่ต้องไปเสียเวลาเดินทางหรือนั่งรอนาน ๆ แต่สุดท้ายต้องกลับบ้านไปแบบยังไม่ได้รับการรักษา จะเห็นได้ว่า Teletriage นั้นมีประโยชน์ทั้งกับบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วย ซึ่งจะส่งผลดีกับทางโรงพยาบาลในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นด้านประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากร คุณภาพการให้บริการ รวมถึงชื่อเสียงของโรงพยาบาลด้วย เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับเทคโนโลยีนี้ มีประโยชน์สุด ๆ เลยใช่ไหมล่ะ และคราวหน้าเราจะมาพูดถึงสถานการณ์การใช้เทคโนโลยี Teletriage ในประเทศไทย รวมถึงแนวทางการนำเทคโนโลยีมาใช้ในประเทศไทยด้วย เพราะฉะนั้นอย่าลืมกดติดตามเพื่อที่คุณจะได้ไม่พลาดคอนเทนต์ใหม่ ๆ จากพวกเรา MEDcury ได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์ม คลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury อ้างอิงข้อมูลจาก https://healthtechmagazine.net/article/2020/04/how-tele-triage-models-work-keep-patients-and-clinicians-safe-perfcon
- ทำไมโรงพยาบาลต้องมีระบบ HIE ? กับ 7 ประโยชน์ที่คุณควรรู้!
ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพ (Health Information Exchange) หรือ HIE กลายเป็นเครื่องมือสำคัญและเริ่มเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ในการทำให้แพทย์ระหว่างโรงพยาบาลสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างไร้รอยต่อ แล้วเทคโนโลยี HIE นี้มีประโยชน์อย่างไรกับโรงพยาบาล บทความนี้มีคำตอบ! 1. ปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย HIE จะทำให้แพทย์สามารถเข้าถึงประวัติการรักษาของผู้ป่วยจากโรงพยาบาลเดิมที่เข้าร่วมโครงการได้อย่างครบถ้วน รวดเร็ว สะดวก และปลอดภัย พร้อมนำมาประกอบการรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที ถือเป็นการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพในการรักษาของแพทย์ภายในโรงพยาบาล 2. สร้างประสบการณ์ที่ดีและเพิ่มความพึงพอใจของผู้ป่วย เมื่อแพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายเช่นนี้ ผู้ป่วยก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางเพื่อกลับไปขอประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลเดิมอีกต่อไป และแพทย์ที่มีข้อมูลครบมือก็สามารถทำการรักษาผู้ป่วยได้อย่างตรงจุด ทันท่วงที และไม่ซ้ำซ้อน แน่นอนว่าสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจและประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยได้เป็นอย่างมาก และอาจทำให้ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยต้องการกลับมาใช้บริการที่โรงพยาบาลซ้ำ หากมีความจำเป็นในอนาคต 3. สร้างการบอกต่อที่ดี การบอกเล่าประสบการณ์การใช้บริการแก่ผู้อื่นถือเป็นหนึ่งในพฤติกรรมผู้บริโภค เมื่อผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยพึงพอใจในผลการรักษาหรือบริการที่ได้รับจากแพทย์และบุคลากรของโรงพยาบาล ก็อาจทำให้ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยมีการบอกต่อเกี่ยวกับโรงพยาบาลในเชิงบวก ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยท่านอื่น ๆ ต้องการมาใช้บริการที่โรงพยาบาลของคุณเพิ่มมากขึ้นด้วย 4. รักษาความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของโรงพยาบาล ความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในธุรกิจโรงพยาบาล HIE ซึ่งเป็นสื่อกลางที่ทำให้แพทย์มีข้อมูลที่ครบครันนั้น จึงเป็นหนึ่งตัวช่วยสำคัญของโรงพยาบาลในการลดการเกิดความผิดพลาดทางการแพทย์ (Medical Errors) และความคลาดเคลื่อนทางยา (Medication Error) ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของโรงพยาบาลลงไปได้ เช่น การจ่ายยาซ้ำซ้อน การจ่ายยาให้แก่ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยา หรือการจ่ายยาที่มีปฏิกิริยาต่อกันของยา เป็นต้น 5. ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น HIE เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาพลิกโฉมวงการดูแลสุขภาพด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารและการทำงานร่วมกันระหว่างโรงพยาบาล ทำให้สามารถส่งต่อข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างไร้รอยต่อ ดังนั้นจึงเป็นการลดภาระงานเอกสารด้านการรับและส่งต่อผู้ป่วยที่ไม่จำเป็น ทำให้โรงพยาบาลสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ลงไปได้ 6. สร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวก ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ภาคธุรกิจจึงต้องมีการปรับตัวพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจโรงพยาบาล และหนึ่งในวิธีการปรับตัวนั้นก็คือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลอย่าง HIE เข้ามาช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจ แน่นอนว่าโรงพยาบาลจะได้รับประโยชน์มากมายตามที่ได้กล่าวมา แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งโรงพยาบาลจะได้ นั่นก็คือ “ภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและเท่าทันต่อยุคดิจิทัล” นั่นเอง 7. ต่อยอดโอกาสทางการแพทย์และโอกาสทางธุรกิจจากข้อมูล HIE จะทำให้โรงพยาบาลสามารถเข้าถึงคลังข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) จากผู้ป่วยที่ให้ความยินยอมได้ โดยในอนาคต โรงพยาบาลอาจนำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอดการดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลในด้านต่าง ๆ ได้ เช่น การเพิ่มศักยภาพการรักษาพยาบาลด้วยการพัฒนา Artificial Intelligence ทางการแพทย์ การเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรหรือการใช้ประโยชน์ทางการตลาดโดยใช้ Data Analytics เป็นต้น อ่านบทความเกี่ยวกับประโยชน์จากข้อมูลในระบบ HIE ในต่างประเทศต่อได้ที่ ระบบ HIE ในโรงพยาบาล: อนาคตของการจัดการข้อมูลในโรงพยาบาล เป็นอย่างไรกันบ้าง ประโยชน์เพียบเลยใช่ไหมล่ะ ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมโรงพยาบาลถึงไม่ควรพลาดที่จะนำเทคโนโลยี HIE เข้ามาใช้ในโรงพยาบาลนั่นเอง MEDcury เราได้พัฒนานวัตกรรม MEDConnext แพลตฟอร์มข้อมูลที่จะเข้ามาช่วยในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสุขภาพระหว่างโรงพยาบาลและการบริหารจัดการโรงพยาบาลให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย พวกเรา MEDcury พร้อมมอบประสบการณ์ในการทำงานในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดให้แก่คุณเท่าที่จะเป็นไปได้ผ่านเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย สำหรับผู้ที่สนใจนวัตกรรม MEDConnext สามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญจาก MEDcury เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์ม คลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury
- 4 เทคโนโลยีลดกระดาษในโรงพยาบาลตอบโจทย์นโยบายมุ่งเน้นปี 2566
ด้วยนโยบายมุ่งเน้นประจำปี พ.ศ. 2566 ของกระทรวงสาธารณสุขไทยที่ต้องการพัฒนาข้อมูลและเทคโนโลยีสุขภาพเพื่อประชาชน โดยการพัฒนาทุกโรงพยาบาลให้กลายเป็น Smart Hospital ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจทัลเข้ามาช่วย เป้าหมายของนโยบายนี้คือโรงพยาบาลจะต้องลดจำนวนการใช้กระดาษ หรือ Paperless Hospital ให้ได้ แล้วโรงพยาบาลจะทำอย่างไรได้บ้าง? วันนี้ MEDcury ขอพาทุกคนไปดู 4 เทคโนโลยีที่จะช่วยให้ทุกโรงพยาบาลสามารถเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็น Paperless Hospital ตามนโยบายของรัฐได้ 1. Health Information System หรือระบบ HIS ระบบ HIS เป็นระบบจัดการและจัดเก็บข้อมูลแบบครบวงจรบนระบบดิจิทัล เทคโนโลยีนี้จึงถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยเสริมเป้าหมายการเป็น Paperless Hospital เพราะไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพื้นฐานผู้ป่วย ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือแม้แต่ใบสั่งยา เพียงแค่โรงพยาบาลใช้ระบบ HIS ทุกอย่างที่เคยอยู่ในรูปแบบกระดาษก็จะกลายเป็นเอกสารออนไลน์นั่นเอง ทั้งนี้ MEDcury ขอแนะนำให้คุณเลือกใช้หรืออัปเกรดระบบ HIS ให้สามารถรองรับกับขั้นตอนการทำงาน (Workflow) และนวัตกรรมต่าง ๆ ในปัจจุบัน รวมถึงต้องเชื่อมต่อเป็นระบบเดียวกัน (Single Source of Truth) ด้วย มิฉะนั้นนี่อาจกลายเป็นปัญหาที่ทำให้คุณอาจยังต้องพึ่งพาระบบเอกสารกระดาษอยู่เช่นเดิม 2. Health Information Exchange หรือระบบ HIE ทุกคนคงรู้กันว่ากระบวนการย้ายโรงพยาบาลนั้นจำเป็นต้องขอข้อมูลประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลเดิมซะก่อน ซึ่งนี่ถือเป็นขั้นตอนที่ทั้งผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วย และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลต้องยุ่งเกี่ยวหรือใช้เอกสารกระดาษจำนวนมาก แต่ระบบ HIE ถือเป็นเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน (Workflow) นี้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยลดกระดาษได้เป็นอย่างดี ด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างโรงพยาบาลผ่านระบบดิจิทัลแทน ทำให้ผู้ให้บริการด้านสุขภาพสามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างไร้รอยต่อได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องใช้กระดาษอีกต่อไป 3. Electronic Medical Record หรือระบบ EMR ทุกคนคงเคยถือหรือเห็นแฟ้มเวชระเบียนกระดาษเป็นกอง แล้วคิดดูสิว่าโรงพยาบาลต้องใช้กระดาษเป็นจำนวนมากแค่ไหนสำหรับเวชระเบียนของผู้ป่วยทุกคน… การใช้เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Electronic Medical Record (EMR) จึงถือเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งสำหรับปัญหานี้ เพียงแค่โรงพยาบาลเริ่มเปลี่ยนจากการบันทึกข้อมูลทางการแพทย์ต่าง ๆ ในกระดาษมาไว้บนระบบคอมพิวเตอร์แทน เมื่อต้องการใช้ ก็สามารถเรียกดูข้อมูลผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ แท็ปเลต เป็นต้น เพียงเท่านี้โรงพยาบาลก็จะสามารถประหยัดการใช้กระดาษได้เป็นกอง ๆ แถมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลอีกด้วย บอกเลยว่าต่อไปก็ไม่ต้องกลัวว่าเวชระเบียนจะสูญหายหรือเสียหายตามกาลเวลา และเจ้าหน้าที่ยังไม่ต้องเสียเวลาค้นหาให้ยากอีกด้วย 4. Telemedicine การไปโรงพยาบาลแต่ละครั้งมีการใช้กระดาษเป็นจำนวนมากจนน่าตกใจ ทั้งแบบฟอร์มที่ต้องให้ผู้ป่วยกรอก ทั้งเอกสารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วย รวมถึงผลตรวจต่าง ๆ ดังนั้นการนำ Telemedicine เข้ามาใช้จึงตอบโจทย์ธุรกิจโรงพยาบาลในการลดกระดาษได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะช่วยให้ทั้งผู้ป่วยสามารถแชร์ข้อมูลให้เรา รวมถึงฝั่งโรงพยาบาลเองก็สามารถแบ่งปันข้อมูลทางออนไลน์ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษนั่นเอง Telemedicine ยังมีประโยชน์อีกมากมายหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องการเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล และช่วยในการจัดการนัดหมายผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น และอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับเทคโนโลยีดิจิทัลเหล่านี้ บอกเลยว่าโรงพยาบาลควรพิจารณานำเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาใช้ นอกจากจะประหยัดทรัพยากรกระดาษ และสามารถดำเนินการทำงานเพื่อตอบโจทย์นโยบายจากภาครัฐได้แล้วนั้น การเป็น Smart Hospital ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยียังสามารถช่วยให้คุณประหยัดทรัพยากรอื่น ๆ ได้อีกเพียบ รวมถึงเป็นการเพิ่มขีดจำกัดของประสิทธิภาพการทำงานให้สูงสุดอีกด้วย สำหรับใครที่สนใจเทคโนโลยีเหล่านี้ ที่ MEDcury เรามี HealthTech Solutions ที่พร้อมให้บริการโรงพยาบาลและคลินิกทุกขนาดธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ระบบ MEDHIS : ระบบบริหารจัดการโรงพยาบาล (Hospital Information System : HIS) ระบบ MEDConnext : ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพระหว่างโรงพยาบาล (Hospital Information Exchange : HIE) หมอในบ้าน : Virtual Health Platform สำหรับบริการทางการแพทย์ออนไลน์ ผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ สามารถพูดคุยหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์ม คลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury
- 4 งานด้านเอกสาร ที่ MEDHIS และ MEDHIS Lite ช่วยลดภาระงานได้
ภาระงานด้านเอกสารจำนวนมากและยุ่งยากมากเกินไปถือเป็นหนึ่งในต้นเหตุของภาวหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) ของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่สามารถช่วยลดภาระงานเหล่านี้ไปได้ หนึ่งในนั้นคือระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (Health Information System) หรือที่ทุกคนคงคุ้นเคยกันในชื่อระบบ HIS วันนี้ MEDcury จะพาไปดูว่าระบบ MEDHIS และ MEDHIS Lite ของเรา สามารถช่วยคุณลดภาระงานด้านเอกสารได้อย่างไรบ้างในบทความนี้! บันทึกและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ด้วยการทำงานผ่านระบบ MEDHIS และ MEDHIS Lite เพียงคุณบันทึกข้อมูลนั้น ๆ แค่ครั้งเดียว ข้อมูลนี้ก็พร้อมแสดงแบบ Real-Time บนระบบออนไลน์ แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์อื่น ๆ ที่ทำการรักษาผู้ป่วย จึงสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างสะดวก และประสานงานกันได้อย่างไร้รอยต่อ ส่งต่อข้อมูลโดยไม่ต้องใช้เอกสารกระดาษ ระบบ MEDHIS และ MEDHIS Lite จาก MEDcury เป็น HIS On-Cloud ในรูปแบบ Web-based จึงทำให้คุณสามารถส่งต่อข้อมูลของผู้ป่วยที่ถูกต้องและแม่นยำระหว่างแผนกผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบาย แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์อื่น ๆ ที่ทำการรักษาผู้ป่วยจึงสามารถค้นหาข้อมูลได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการใช้เวชระเบียนกระดาษหนาเป็นปึกอีกต่อไป อีกทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ไม่ต้องคอยกรอกข้อมูลเดิม ๆ ใหม่อีกครั้งอีกด้วย ผลลัพธ์จึงไม่ใช่แค่การลดการใช้กระดาษภายในโรงพยาบาล พร้อมเป็นโรงพยาบาลไร้กระดาษหรือ Paperless Hospital แต่ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการทำงานให้แก่บุคลากรของโรงพยาบาล รวมถึงประสบการณ์การใช้บริการที่ดีให้แก่ผู้ป่วยอีกด้วย บันทึกข้อมูลตามกฎระเบียบและข้อกำหนดต่าง ๆ ที่เข้มงวด งานธุรการ เอกสาร และข้อบังคับต่าง ๆ เป็นตัวการสำคัญที่สร้างความเหนื่อยหน่ายในหมู่บุคลากรทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม MEDHIS และ MEDHIS Lite สามารถเปลี่ยนเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ให้กลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นได้ เพราะในระบบของเรามีแบบฟอร์มต่าง ๆ แบบสำเร็จรูปที่ตรงตามเกณฑ์เฉพาะและแนวทางที่เข้มงวด พร้อมให้คุณเลือกใช้งานอย่างเหมาะสม หรือจะใช้ฟีเจอร์ ‘'Customizable E-Form' เพื่อสร้างฟอร์มใหม่ตามแบบที่คุณต้องการก็ได้เช่นกัน เก็บรักษาข้อมูลอย่างปลอดภัย ระบบ MEDHIS และ MEDHIS Lite ถูกพัฒนาขึ้นตามหลัก Data Security เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลตามมาตรฐานสากล โดยการจำกัดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลเฉพาะผู้ที่มีสิทธิ์เข้าถึงเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุดอีกด้วย ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยจึงสามารถทำงานและใช้บริการได้อย่างปลอดภัยและสบายใจ 4 งานด้านเอกสารเหล่านี้ถือเป็นงานหลัก ๆ ที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องเสียสละเวลาอันมีค่าในแต่ละวันเพื่อมาจัดการให้เสร็จสิ้น ดังนั้นจะดีกว่าไหมถ้าโรงพยาบาลพิจารณานำระบบ HIS เข้ามาช่วยเพื่อลดภาระงานในส่วนนี้ เปิดโอกาสให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ทำงานมุ่งเน้นไปที่การรักษาผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น สนใจนำ MEDHIS หรือ MEDHIS Lite เข้ามาใช้ในองค์กร? ที่ MEDcury เราพร้อมให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ สามารถพูดคุยหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MED-HIS กับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์ม คลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury
- 9 ปัญหาที่ตามมาจากลายมือหมออ่านยาก พร้อมวิธีแก้ไขให้อยู่หมัด
คุณเคยเห็นไวรัลบนโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับลายมือหมอในใบรายงานการตรวจ แล้วพยายามช่วยแกะลายมือนั้นบ้างไหม? นี่อาจดูเป็นเรื่องขำขันหรือท้าทาย แต่รู้หรือไม่ว่าเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ตลกไม่ออกสำหรับหลาย ๆ คน เพราะลายมือหมอที่ยึก ๆ ยือ ๆ จนอ่านไม่ออกนี้ สร้างปัญหาให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นเพื่อนร่วมงาน รวมถึงตัวผู้ป่วยกันมานักต่อนัก วันนี้ MEDcury ขอชวนทุกคนมาดู 9 ปัญหาที่ตามมาจากลายมือหมออ่านยาก พร้อมเผยสุดยอดวิธีแก้ไขปัญหานี้อย่างเด็ดขาด จะเป็นอย่างไร ตามมาอ่านได้ในบทความนี้เลย! 9 ปัญหาที่ตามมาจากลายมือหมออ่านยาก 1. การรักษาผิดพลาด การเขียนคำสั่งการแพทย์ต่าง ๆ หรือใบสั่งยาด้วยลายมือยึกยืออ่านยาก อาจนำไปสู่หายนะครั้งใหญ่ในการรักษาและจ่ายยา ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อผู้ป่วย โดยความคลาดเคลื่อนในการวินิจฉัย การรักษา และการจ่ายยาที่เกิดขึ้นจากลายมือที่อ่านยากนี้มีมากมายหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งจ่ายยาในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ยาผิดชนิด ผิดขนาดความแรงยา วิธีใช้ยาที่ผิด ผ่าตัดผิดคน ผ่าตัดผิดข้าง ผ่าตัดผิดตำแหน่ง ผ่าตัดผิดหัตถการ ตัวอย่างเช่น บุคลากรทางการแพทย์เขียนเลข 1 แต่คนอ่านอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเลข 7 บุคลากรทางการแพทย์ลืมใส่จุดทศนิยม หรือเขียนชิดกันมากจนแยกไม่ออก จาก 1.0 ก็สามารถกลายเป็น 10 ได้ ส่งผลให้อาจสั่งจ่ายยาผิดพลาดเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ 10 เท่าเลยทีเดียว บุคลากรทางการแพทย์ทำการผ่าตัดก้อนเนื้อที่หน้าอกบริเวณด้านบน จากที่จริง ๆ ต้องผ่าตัดที่หน้าอกบริเวณด้านล่าง 2. กระทบการทำงานร่วมกันระหว่างแผนก หลายคนคงเดาได้ไม่ยากว่าคนที่จะต้องอ่านลายมือยึกยือเหล่านี้และทำการถอดรหัสจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นเพื่อนร่วมงาน คนที่ทำงานด้วยกันมานานหลายปีอาจจะเคยชินบ้าง แต่บางคนก็ไม่สามารถทำความคุ้นชินกับลายมือแบบนี้ได้เลยสักครั้ง อีกทั้งในแต่ละปีจะมีนักศึกษาแพทย์หน้าใหม่เข้ามาเรียนรู้งาน หรือแม้แต่มีบุคลากรย้ายมาใหม่หมุนเวียนไปมาอีก นี่จึงอาจเป็นการสร้างปัญหาให้เพื่อนร่วมงาน ซึ่งกระทบต่อการทำงานอื่น ๆ ด้วย เพราะเพื่อนร่วมงานต้องมาคอยเสียเวลาเพื่อแกะรหัสลายมือ หรือมีการถามซ้ำเพื่อตรวจสอบข้อมูล 3. ปริมาณงานเพิ่มขึ้น ใช้เวลาทำงานนานขึ้น การเขียนด้วยลายมือที่อ่านยากนี้อาจนำไปสู่การสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง ดังที่กล่าวไปว่าเพื่อนร่วมงานต้องยอมเสียเวลาเพื่อถอดรหัสลายมือ หรือถามซ้ำเพื่อตรวจสอบข้อมูล นี่จึงไม่ต่างอะไรกับงานที่เพิ่มขึ้น แถมยังต้องใช้เวลาทำงานนานมากขึ้นอีกด้วย 4. รักษาผู้ป่วยได้ล่าช้า สภาพแวดล้อมในโรงพยาบาลนั้นยุ่งวุ่นวายตลอดเวลา และทุกวินาทีล้วนมีค่า แต่เมื่อบุคลากรทางการแพทย์ทำงานได้ช้าลงแบบนี้ แน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อคุณภาพการดูแลที่ผู้ป่วยได้รับ โดยเฉพาะในด้านระยะเวลารอคอย ทำให้เกิดความล่าช้าในการรักษาผู้ป่วย นอกจากนี้ความเข้าใจผิดเนื่องจากลายมืออ่านไม่ออกนี้ยังอาจทำให้มีการสั่งการตรวจวินิจฉัยที่ไม่จำเป็นสำหรับอาการของผู้ป่วยอีกด้วย 5. ผู้ป่วยสับสนและไม่เข้าใจคำแนะนำในการใช้ยาและดูแลสุขภาพ แม้ว่าผู้ป่วยบางรายได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลเสร็จสิ้นแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็ยังต้องกลับไปดูแลตนเองต่อหลังจากออกจากโรงพยาบาล ซึ่งหลาย ๆ ครั้งผู้ป่วยมักมีปัญหาในการทำความเข้าใจวิธีปฏิบัติตัว ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการรับประทานยา การดูแลบาดแผล การควบคุมอาหาร การทำกายภาพบำบัด และอื่น ๆ อีกมากมาย หากเอกสารเหล่านี้ถูกเขียนด้วยลายมือที่อ่านยากก็เป็นการสร้างความสับสนให้แก่ผู้ป่วยได้ และอาจนำไปสู่ผลในแง่ลบในการดูแลและติดตามผล รวมถึงสุขภาพของผู้ป่วยโดยรวม 6. ผู้ป่วยเสี่ยงเกิดอาการไม่พึงประสงค์ การเขียนด้วยลายมือที่อ่านยากและไม่ชัดเจนนี้ทำให้การสื่อสารเพื่อถ่ายทอดข้อมูลที่สำคัญไม่แม่นยำอย่างที่ควรจะเป็น จนนำไปสู่ผลกระทบที่ร้ายแรงต่อผู้ป่วย ตั้งแต่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ รักษาไม่ทันท่วงที จนอาจรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ 7. สร้างความยุ่งยากในกระบวนการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล การเขียนเอกสารทางการแพทย์ต่าง ๆ เช่น ใบรับรองแพทย์ แบบฟอร์มการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เป็นต้น ด้วยลายมือที่อ่านยาก อาจทำให้เกิดความยุ่งยากและล่าช้าในการดำเนินการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพราะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้ต้องเสียเวลาตีความข้อมูล และอาจนำเข้าข้อมูลต่าง ๆ ที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ชัดเจน โดยเฉพาะรหัสโรคและหัตถการ (ICD-10) ส่งผลให้เกิดผลกระทบในการเรียกเก็บเงินและเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่อาจนำไปสู่การปฏิเสธการเรียกร้องหรือความล่าช้าในการคืนเงิน 8. เกิดข้อร้องเรียนหรือปัญหาทางด้านกฎหมายหรือกฎระเบียบ ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ อาจทำให้ทั้งตัวบุคลากรทางการแพทย์ผู้เขียนด้วยลายมือที่อ่านยาก รวมถึงเพื่อนร่วมงานที่ถอดรหัสตีความลายมือนี้ได้รับผลกระทบทางด้านกฎหมายหรือกฎระเบียบ โดยอาจถูกร้องเรียนหรือฟ้องร้องต่อศาล เพื่อแสดงความรับผิดชอบ ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับอันตรายหรือความไม่สะดวกใด ๆ 9. กระทบต่อชื่อเสียงของโรงพยาบาล และส่งผลต่อรายได้ของโรงพยาบาล เมื่อลายมืออ่านยากและไม่ชัดเจนเป็นเหตุให้เกิดความความผิดพลาดในการรักษา หรือคุณภาพในการรักษาลดลง จนผู้ป่วยต้องเสี่ยงได้รับอันตราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ผู้ป่วยหลาย ๆ คนจึงอาจมีการร้องเรียน หรืออาจรุนแรงถึงขั้นฟ้องร้องต่อศาลเพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายเลยทีเดียว ดังนั้นโรงพยาบาลอาจจำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งสำหรับการดำเนินคดีทางด้านกฎหมาย และเพื่อเยียวยาช่วยเหลือผู้ป่วยหรือครอบครัวของผู้ป่วย นอกจากนี้ในปัจจุบันข่าวต่าง ๆ สามารถถูกเผยแพร่ออกไปในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว ทั้งจากการบอกกันปากต่อปาก ผ่านโซเชียลมีเดีย จนไปถึงการถูกนำเสนอโดยสำนักข่าวดัง นี่จึงอาจกระทบต่อชื่อเสียงที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของโรงพยาบาลอย่างรุนแรง และอาจทำให้รายได้ของโรงพยาบาลลดลงอีกด้วย Paperless Hospital สุดยอดวิธีแก้ไขปัญหาลายมือหมออ่านยาก หนึ่งวิธีที่สามารถแก้ไขปัญหาลายมือหมออ่านยากได้อย่างถาวรคือการเปลี่ยนโรงพยาบาลให้เป็นโรงพยาบาลไร้กระดาษหรือ Paperless Hospital ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการเขียนด้วยลายมืออีกต่อไปนั่นเอง แล้วเราจะทำได้อย่างไร ตามมาดูต่อกันข้างล่างนี้เลย! 3 วิธีเปลี่ยนแปลงโรงพยาบาลให้กลายเป็น Paperless Hospital เพื่อแก้ไขปัญหาลายมือหมออ่านยาก 1. นำระบบสารสนเทศโรงพยาบาลหรือ Hospital Information System (HIS) เข้ามาใช้งาน เพราะการมีระบบ HIS ช่วยปลดล็อกความสามารถในการบันทึกและเก็บเอกสารต่าง ๆ ในรูปแบบออนไลน์ที่ต้องอาศัยด้วยการพิมพ์หรือกดเลือกตัวเลือกต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบ ดังนั้นทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นเพื่อนร่วมงานหรือผู้ป่วยต่างก็ไม่จำเป็นต้องมาคอยถอดรหัสชวนงงงวยนี้อีกต่อไป ความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นจากลายมือยึกยืออ่านยากจึงลดลงไปด้วยนั่นเอง 2. ใช้เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Medical Records : EMR) แทนการใช้เวชระเบียนกระดาษ การใช้เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์แทนเวชระเบียนกระดาษ ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ลดการพึ่งพาเอกสารที่เขียนด้วยลายมือ ผลลัพธ์ปลายทางจึงช่วยลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีต้นเหตุมาจากการเขียนด้วยลายมือที่อ่านยาก ทุกคนสามารถอ่านออกได้ง่าย ๆ และเข้าใจถูกต้อง ทำให้กระบวนการการรักษาทั้งหมดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยปรับปรุงความปลอดภัยโดยรวมของผู้ป่วยอีกด้วย 3. ใช้เอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ในแต่ละวัน บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจำเป็นต้องออกเอกสารต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นใบรับรองแพทย์ การบันทึกทางการพยาบาล และอื่น ๆ อีกมากมาย หากเราสามารถเปลี่ยนเอกสารเหล่านี้จากเอกสารกระดาษให้ไปอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แทน ก็จะถือเป็นการตัดปัญหาลายมืออ่านยากไปได้ นอกจากนี้ยังเป็นการลดการใช้ทรัพยากรกระดาษ ประหยัดต้นทุนของโรงพยาบาลได้เป็นอย่างมาก แถมยังเป็นการสนับสนุนการทำงานและให้บริการแบบดิจิทัลตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้ป่วยในปัจจุบันอีกด้วย ระบบ Paperless ช่วยขจัดปัญหาที่เกิดจากลายมือหมออ่านยากได้อย่างไร? ทั้ง 3 วิธีข้างต้นจะทำให้กระบวนการทำงานระหว่างโรงพยาบาลที่เป็น Paperless Hospital และโรงพยาบาลที่ไม่ได้เป็น Paperless Hospital แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง MEDcury ได้ทำรูปภาพนี้ขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบให้ทุกคนเห็นภาพกันชัดเจนมากยิ่งขึ้น มาดูกันเลย เป็นอย่างไรกันบ้าง เห็นแล้วใช่ไหมว่าสุดท้ายแล้วการเปลี่ยนโรงพยาบาลให้เป็นโรงพยาบาลไร้กระดาษหรือ Paperless Hospital จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่กระบวนการรักษา ซึ่งส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถทำงานได้อย่างแฮปปี้ ผู้ป่วยเองก็ได้ประโยชน์ นอกจากนี้โรงพยาบาลยังสามารถลดการใช้ทรัพยากรได้อีกมหาศาลเลยอีกด้วย MEDHIS และ MEDHIS Lite ตัวช่วยเด็ด เคล็ดลับขจัดลายมือหมออ่านยาก ในสภาพแวดล้อมทางการแพทย์ที่ยุ่งวุ่นวาย การสื่อสารที่ชัดเจนถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าเราถ่ายทอดข้อมูลที่สำคัญได้อย่างถูกต้องแม่นยำ MEDHIS และ MEDHIS Lite ถือเป็นตัวช่วยหนึ่งที่พร้อมช่วยคุณเพิ่มศักยภาพในการบันทึกและส่งต่อข้อมูลโดยไม่ต้องพึ่งพาการเขียนด้วยลายมือหรือการใช้เอกสารกระดาษ MEDHIS และ MEDHIS Lite คือระบบ HIS จาก MEDcury ซึ่งเป็น HIS On-Cloud ในรูปแบบ Web-based ที่มาพร้อมกับเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์หรือ EMR เมนูสั่งจ่ายยา เมนูส่งต่อผู้ป่วยระหว่างแผนก เมนูการเงินและบัญชี บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจึงสามารถทำทุกอย่างได้ผ่านระบบออนไลน์แบบ Real-Time ทำให้การประสานงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและไร้รอยต่อภายใต้การปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างเข้มงวด พร้อมความปลอดภัยระดับสากล ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจึงสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมส่งมอบบริการที่มีคุณภาพให้แก่ผู้ป่วย ส่วนผู้ป่วยเองก็สามารถใช้บริการได้อย่างปลอดภัยและสบายใจ นอกจากนี้ยังช่วยโรงพยาบาลลดการใช้ทรัพยากรและต้นทุน และเป็นการสนับสนุนให้โรงพยาบาลมีสิทธิ์ได้รับมาตรฐาน EMRAM จาก HIMSS (Healthcare Information and Management Systems Society) อีกด้วย สนใจนำ MEDHIS หรือ MEDHIS Lite เข้ามาใช้ในองค์กร? ที่ MEDcury เราพร้อมให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ สามารถพูดคุยหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDHIS กับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์ม คลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury
- สรุป 4 เทรนด์เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปี 2024 ที่โรงพยาบาลไม่ควรพลาด!
พร้อมเริ่มต้นปีใหม่ 2567 กันรึยัง? ในปีหน้าที่จะถึงนี้ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายการทำงานของผู้ประกอบการธุรกิจโรงพยาบาลหรือการดูแลสุขภาพ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของภูมิทัศน์ด้านการดูแลสุขภาพ หรือ Healthcare Landscape จากพฤติกรรมของผู้ป่วยที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย พวกเรา MEDcury จึงได้รวบรวมเทรนด์เทคโนโลยีการแพทย์ที่น่าสนใจมาให้ทุกคนแล้วในบทความนี้ ถ้าไม่อยากตกเทรนด์ ตามมาดูกันเลย แล้วมาปรับตัวก้าวให้ทันยุคทันสมัย พร้อมดำเนินธุรกิจให้เติบโต เอาชนะใจผู้ป่วยในปีหน้านี้กัน สรุป 4 เทรนด์เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปี 2024 ที่โรงพยาบาลไม่ควรพลาด! 1. Remote Patient Monitoring (RPM) และ Telemedicine ข้อมูลจาก IDC ชี้ว่าเทคโนโลยี Remote Patient Monitoring (RPM) และ Telemedicine เป็นเทคโนโลยีอันดับหนึ่งที่เหล่าผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจในโรงพยาบาลหรือคลินิกต้องการจัดแจงงบให้เพื่อลงทุนและพัฒนา เพราะเทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งมอบการรักษาพยาบาล ผู้ป่วยจึงสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเดินทางมาโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์เอง นอกจากนี้การมี RPM และ Telemedicine ยังช่วยให้โรงพยาบาลสามารถแก้ไขปัญหาขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเพิ่มความสามารถสูงสุดในการดูแลผู้ป่วยเชิงรุกได้อีกด้วยนั่นเอง นี่จึงเป็นเหตุผลที่เหล่าผู้บริหารวางแผนที่ลงทุนและพัฒนาในเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่องในปี 2567 นี้ 2. AI และ Generative AI AI ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์มาสักพักแล้ว เช่น การช่วยเหลือในการคัดกรองตนเอง (Self-guided Screening) การวิเคราะห์และวินิจฉัยจากภาพวินิจฉัย (Imaging Analytics and Diagnostics) เป็นต้น แต่ Generative AI ถือเป็นอีกแขนงหนึ่งของเทคโนโลยี AI ที่กำลังมาแรงมาก เพราะมันเกิดมาเพื่อพลิกโฉมโลกการทำงานแทบจะทุกวงการ นอกจากนี้เหล่าผู้เชี่ยวชาญต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันจะสร้างแรงกระเพื่อมยาวนานต่อไปอีกอย่างน้อย 12 เดือนข้างหน้านี้ การประยุกต์ใช้ Generative AI ในวงการดูแลสุขภาพนั้นถือว่าไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความสามารถในการใช้ประโยชน์จาก AI ประเภทอื่น ๆ การสร้าง Chatbot หรือ Virtual Assistant คอยช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยคำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ป่วย และอื่น ๆ อีกมากมาย 3. Virtual Healthcare Assistants และ Chatbot เทคโนโลยีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงที่โรงพยาบาลควรจับตามอง เพราะเป็นเทคโนโลยีที่เรียกว่ายิงปืนครั้งเดียวได้นกสองตัว โดยสามารถคอยเป็นสายซัพพอร์ตให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษา การวินิจฉัย และการใช้ยา อีกทั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่พร้อมให้บริการแก่ผู้ป่วยอย่างเต็มใจ และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับบริการต่าง ๆ หรือการดูแลสุขภาพของผู้ป่วย การนัดหมายแพทย์พร้อมเชื่อมต่อไปยังระบบสารสนเทศโรงพยาบาล หรือระบบ HIS หรือแม้แต่การแจ้งเตือนให้ผู้ป่วยรับประทานยาหรือออกกำลังกาย 4. Big Data การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่หรือ Big Data ถือเป็นหนึ่งเทคโนโลยีที่โรงพยาบาลไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด เพราะเหล่าผู้บริหารของโรงพยาบาลจำนวนมากจากการสำรวจของ IDC ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีนี้จะนำมาซึ่งข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่ามหาศาล ทำให้องค์กรสามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเป็น Data-Driven Healthcare Organization ซึ่งสุดท้ายจะช่วยให้โรงพยาบาลสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานในองค์กรได้อย่างเหมาะสม และปลดล็อกศักยภาพอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่อยากเป็นโรงพยาบาลเดียวที่ตกเทรนด์? เป็นอย่างไรกันบ้าง...มีเทคโนโลยีไหนที่คุณอยากให้มีในโรงพยาบาลของตนเองบ้างไหม ? ถ้าคุณต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานภายในโรงพยาบาล นำเสนอบริการที่ตอบโจทย์และคุณภาพสูงให้แก่ผู้ป่วย และไม่อยากเป็นโรงพยาบาลเดียวที่ตกเทรนด์ อย่าลืมพิจารณาลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของ Healthcare Landscape สมัยใหม่กันนะ สำหรับใครที่อยากพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านสุขภาพ สามารถพูดคุยกับพวกเรา MEDcury ได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์มคลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.redoxengine.com/ https://www.forbes.com/
- 8 เคล็ด(ไม่)ลับ : การปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วย
ในปัจจุบันนี้หลาย ๆ โรงพยาบาลได้เปลี่ยนรูปแบบการเก็บข้อมูลของผู้ป่วยจากแผ่นกระดาษมาอยู่ในระบบออนไลน์กันเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และลดต้นทุนต่าง ๆ มากมาย อย่างไรก็ตามเมื่อข้อมูลเหล่านี้อยู่บนออนไลน์ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดเหล่าโจรไซเบอร์ได้เป็นอย่างดี วันนี้ MEDcury เลยขอมาแชร์ 8 ทริคที่จะช่วยให้โรงพยาบาลสามารถปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยให้ปลอดภัยจากการโจรกรรมข้อมูลทางไซเบอร์ จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย 1️⃣ ปฏิบัติตาม 3 กฎหมาย : HIPAA, GDPR และ PDPA นอกจากกการมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการให้บริการแก่ผู้ป่วยแล้ว โรงพยาบาลยังควรต้องมุ่งเน้นที่จะปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยอีกด้วย โดยมี 3 กฎหมายที่ถือเป็นแนวทางปฏิบัติพื้นฐานในการปกป้องคุ้มครองข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ได้แก่ HIPAA, GDPR และ PDPA เพื่อให้การจัดเก็บ การใช้ และการส่งต่อข้อมูลสุขภาพภายใต้การคุ้มครอง (Protected Health Information : PHI) เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด มิเช่นนั้นแล้วโรงพยาบาลอาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายได้ หากอยากรู้จักกฎหมายเหล่านี้เพิ่มขึ้นสามารถอ่านได้ที่นี่เลย! 👉🏻 3 กฎหมายด้านข้อมูลที่โรงพยาบาลต้องปฏิบัติตาม 2️⃣ ฝึกอบรมบุคลากร หากเจ้าหน้าที่พนักงานทำงานผิดพลาดหรือประมาทเลินเล่อแม้เพียงเล็กน้อย หรือไม่ตระหนักถึงความสำคัญในการปกป้องข้อมูลของลูกค้า สิ่งเหล่านี้ก็อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ต่อโรงพยาบาลได้ การฝึกอบรมในประเด็นด้านความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยให้แก่เจ้าหน้าที่พนักงานจึงถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจสำหรับการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง การตัดสินใจอย่างชาญฉลาด และเพิ่มความตระหนักในการจัดการข้อมูลของผู้ป่วยเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวอย่างระมัดระวังได้อย่างเหมาะสม 3️⃣ จำกัดการเข้าถึงข้อมูลและยืนยันตัวตนทุกครั้งเมื่อต้องการเข้าถึงข้อมูล การจำกัดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ป่วยให้เฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้นถือเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการปกป้องข้อมูล เพราะเป็นการคัดผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออก และเปิดเผยข้อมูลให้เฉพาะบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น อย่างไรก็ตามแม้จะมีการจำกัดสิทธิ์แล้ว แต่การเข้าถึงแต่ละครั้งก็ยังควรมีการยืนยันตัวตนของผู้เข้าถึงอีกครั้งโดยใช้ Multi-Factor Authentication กล่าวคือนอกจากการเข้าถึงด้วย Username และ Password แล้ว ยังจะมีการตรวจสอบอีกครั้งโดยใช้สิ่งยืนยันตัวตนต่าง ๆ เช่น รหัส PIN คีย์การ์ด หรือแม้แต่การใช้ Biometrics อย่างการสแกนใบหน้า สแกนลายนิ้วมือ หรือสแกนดวงตา เป็นต้น เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่เข้าถึงนั้นเป็นตัวจริง ไม่ใช่การสวมรอยหรือแอบอ้าง 4️⃣ ควบคุมการใช้ข้อมูล บางครั้งแค่จำกัดการเข้าถึงและยืนยันตัวตนอาจไม่เพียงพอ แต่ต้องมีการควบคุมกิจกรรมด้านข้อมูลต่าง ๆ ที่อาจมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความเสียหายด้วย เช่น การอัปโหลดลงบนเว็บ การส่งอีเมลโดยไม่ได้รับอนุญาต การคัดลอกไปยังไดรฟ์ภายนอก หรือการพิมพ์เอกสาร เป็นต้น ซึ่งการจะควบคุมกิจกรรมเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสมนั้นจะต้องมีการทำ Data Discovering และ Data Classification เสียก่อน เพื่อสำรวจ หาความหมาย และจัดแบ่งข้อมูลออกเป็นกลุ่มตามการใช้งาน และมูลค่าของข้อมูลแต่ละชนิด เพื่อให้ระบบสามารถระบุได้ว่าข้อมูลนี้ควรได้รับการป้องกันในระดับใด 5️⃣ บันทึกประวัติการเข้าถึง บันทึกประวัติการเข้าถึงก็มีความสำคัญเช่นกัน เพราะทำให้เราสามารถตรวจสอบได้ว่ามีผู้ใช้รายใดบ้างที่เข้าถึงข้อมูลนี้ และเข้าถึงเมื่อไหร่ จากอุปกรณ์ใด ที่ตำแหน่งใด หากมีการเข้าถึงที่ผิดปกติ โรงพยาบาลก็อาจเตรียมมาตรการป้องกันไว้ได้ทัน หรือหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นก็สามารถใช้บันทึกนี้ในการชี้ตัวผู้ก่อเหตุ ระบุสาเหตุ และประเมินความเสียหายได้ 6️⃣ เข้ารหัสข้อมูล การเข้ารหัสข้อมูลหรือ Data Encryption ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องข้อมูลของโรงพยาบาล รวมไปถึงทุก ๆ องค์กรด้วย โดยข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสจะปลอดภัยทั้งในขณะที่ส่งต่อ หรือแม้แต่ในขณะที่ไม่ได้ใช้งาน ถึงแม้ผู้โจมตีทางไซเบอร์จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ แต่การถอดรหัสข้อมูลนั้นทำได้ยากมาก ๆ จนถึงขั้นเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นการเข้ารหัสข้อมูลถือเป็น A MUST ที่โรงพยาบาลควรทำอย่างยิ่ง 7️⃣ ประเมินความเสี่ยงเป็นประจำ การประเมินความเสี่ยงเป็นประจำจะทำให้โรงพยาบาลสามารถระบุจุดอ่อนหรือจุดอ่อนในด้านต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบการรักษาความปลอดภัยขององค์กร ความรู้และความเข้าใจของเจ้าหน้าที่พนักงาน ความน่าเชื่อถือและพฤติกรรมของพันธมิตรทางธุรกิจ และประเด็นอื่น ๆ ที่น่ากังวล การประเมินความเสี่ยงเป็นประจำเช่นนี้จะเป็นการป้องกันเชิงรุก และช่วยลดความเสี่ยงในการละเมิดข้อมูลและความเป็นส่วนตัวได้ ถือเป็นการหลีกเลี่ยงผลกระทบอื่น ๆ ที่อาจตามมาจากการละเมิดความเป็นส่วนหรือรั่วไหลของข้อมูล ตั้งแต่ความเสียหายต่อชื่อเสียง รวมไปถึงบทลงโทษจากหน่วยงานกำกับดูแล 8️⃣ สำรองข้อมูลแบบ Offsite การสำรองข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่แค่เพราะเพื่อกู้คืนความเสียหายในกรณีที่ถูกโจมตีทางไซเบอร์ แต่ยังสามารถกู้คืนความเสียหายจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างภัยธรรมชาติที่อาจกระทบต่อศูนย์จัดเก็บข้อมูลได้อีกด้วย ดังนั้นโรงพยาบาลจึงควรมีการสำรองข้อมูลที่เหมาะสม ซึ่งการสำรองข้อมูลแบบ Offsite ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ โดยโรงพยาบาลควรสำรองข้อมูลผ่านระบบที่ปลอดภัยรัดกุม และทริคที่สำคัญคืออย่าลืมที่จะสำรองข้อมูลบ่อย ๆ ด้วย เพื่อให้ข้อมูลเป็นปัจจุบันที่สุดนั่นเอง เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับ 8 เคล็ด(ไม่)ลับที่เรานำมาฝาก รู้ประโยชน์กันไปขนาดนี้แล้ว อย่าลืมนำไปใช้กันด้วยนะ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยสูงสุดในการจัดเก็บข้อมูลให้กับโรงพยาบาลของคุณ และสำหรับใครที่อยากพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมด้านการดูแลสุขภาพ สามารถพูดคุยกับพวกเรา MEDcury ได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์มคลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury อ้างอิงข้อมูลจาก https://digitalguardian.com/blog/healthcare-cybersecurity-tips-securing-private-health-data










