
ผลลัพธ์การค้นหา
พบผลการค้นหา 48 รายการ
- แผนกในโรงพยาบาลมีอะไรบ้าง? รวมหน้าที่และการทำงานของแต่ละแผนก
ทำความรู้จักแผนกในโรงพยาบาลทั้งหมด ตั้งแต่แผนกดูแลผู้ป่วย แผนกเฉพาะทาง ไปจนถึงแผนกวินิจฉัยและสนับสนุนการรักษา Table of Contents แผนกในโรงพยาบาลมีอะไรบ้าง? แผนกที่ดูแลผู้ป่วยโดยตรง แผนกการแพทย์เฉพาะทาง แผนกวินิจฉัยและสนับสนุนการรักษา ทำไมคนไข้ถึงควรรู้จักแผนกในโรงพยาบาล? คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแผนกในโรงพยาบาล Key Takeaways แผนกในโรงพยาบาลประกอบด้วยแผนกที่ดูแลผู้ป่วยโดยตรง เช่น แผนกผู้ป่วยนอก (OPD) แผนกผู้ป่วยใน (IPD) รวมถึงการดูแลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุใน ER และดูแลผู้ป่วยอาการรุนแรงใน ICU ซึ่งแผนกกลุ่มนี้ทำหน้าที่ประเมินอาการ ให้การรักษา และเฝ้าติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบบริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาล นอกจากแผนกที่รักษาโดยตรงแล้ว โรงพยาบาลยังมีแผนกการแพทย์เฉพาะทาง ที่ดูแลผู้ป่วยเฉพาะโรคหรือเฉพาะระบบอวัยวะ เช่น กุมารเวชกรรม สูตินรีเวช จักษุ อายุรกรรม หูคอจมูก และจิตเวช รวมถึงแผนกที่สนับสนุนการวินิจฉัยและดูแลรักษา เช่น รังสี เภสัชกรรม ห้องปฏิบัติการ ศัลยกรรม วิสัญญี และเวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งช่วยให้การดูแลรักษาแม่นยำยิ่งขึ้น โรงพยาบาลประกอบด้วยหลายแผนกที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การดูแลรักษาผู้ป่วยเป็นไปอย่างครบวงจร ตั้งแต่การตรวจคัดกรอง การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการฟื้นฟู ซึ่งแต่ละแผนกล้วนมีบทบาทและความสำคัญต่อคุณภาพการให้บริการทางการแพทย์ MEDcury จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับแผนกในโรงพยาบาล พร้อมทำความเข้าใจหน้าที่ของแผนกต่าง ๆ เพื่อลดความสับสน ทำให้การเข้าใช้บริการที่โรงพยาบาลสะดวกรวดเร็วมากขึ้น แผนกในโรงพยาบาลมีอะไรบ้าง? แผนกในโรงพยาบาล ขอบเขตการทำงาน แผนกผู้ป่วยนอก (OPD) การตรวจรักษาแบบไม่ต้องนอนโรงพยาบาล เป็นจุดเริ่มต้นของการประเมินอาการและพบแพทย์ แผนกผู้ป่วยใน (IPD) ดูแลผู้ป่วยที่ต้องนอนพักรักษา เฝ้าติดตามอาการ 24 ชม. พร้อมดูแลหลังผ่าตัดหรือรักษาโรคที่ต้องดูแลต่อเนื่อง แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน (ER) รับผู้ป่วยฉุกเฉินและอุบัติเหตุ ประเมินอาการเร่งด่วน ให้การรักษาเพื่อช่วยชีวิตทันที แผนกผู้ป่วยหนัก (ICU) ดูแลผู้ป่วยอาการรุนแรง ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางและการเฝ้าระวังใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง แผนกกุมารเวชกรรม (Pediatrics) ดูแลรักษาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึงวัยรุ่น รวมถึงพัฒนาการ วัคซีน และโรคเฉพาะในเด็ก แผนกสูตินรีเวชกรรม (Obstetrics–Gynecology) ดูแลการตั้งครรภ์ คลอดบุตร โรคสตรี และสุขภาพระบบสืบพันธุ์หญิง แผนกจักษุ (Ophthalmology) ตรวจรักษาโรคตา ผ่าตัดต้อกระจก ภาพพร่ามัว และภาวะผิดปกติของดวงตา แผนกอายุรกรรม (Internal Medicine) ดูแลโรคระบบอวัยวะภายใน เช่น หัวใจ ปอด ไต เบาหวาน และโรคเรื้อรังต่าง ๆ แผนกหู คอ จมูก (ENT) รักษาโรคเกี่ยวกับการได้ยิน ไซนัส การหายใจ กล่องเสียง และความผิดปกติของศีรษะและคอ แผนกจิตเวช (Psychiatry) ดูแลสุขภาพจิต อารมณ์ พฤติกรรม ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และให้คำปรึกษาทางจิตใจ แผนกรังสี (Radiology) ถ่ายภาพทางการแพทย์ เช่น X-ray, CT, MRI เพื่อช่วยวินิจฉัยโรค แผนกเภสัชกรรม (Pharmaceutical ) จ่ายยา ตรวจสอบใบสั่งยา ให้คำแนะนำการใช้ยา และดูแลคลังยา แผนกห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (Laboratory) ตรวจเลือด ปัสสาวะ ชิ้นเนื้อ และวิเคราะห์ผลเพื่อสนับสนุนการวินิจฉัย แผนกศัลยกรรม (Surgery) รักษาด้วยการผ่าตัดทั้งทั่วไปและเฉพาะทาง พร้อมดูแลก่อน–หลังผ่าตัด แผนกวิสัญญี (Anesthesia) ให้ยาชา ยาสลบ ควบคุมการระงับความเจ็บปวดและความปลอดภัยระหว่างผ่าตัด แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู (Physical Therapy) ฟื้นฟูความสามารถในการเคลื่อนไหว บำบัดหลังผ่าตัด อุบัติเหตุ หรือโรคเรื้อรัง 1. แผนกที่ดูแลผู้ป่วยโดยตรง 1.1 แผนกผู้ป่วยนอก (OPD) แผนกผู้ป่วยนอก หรือ Outpatient Department (OPD) เป็นจุดเริ่มต้นของการรับบริการในโรงพยาบาล ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมาที่แผนก OPD เพื่อพบแพทย์ ตรวจวินิจฉัย รับยา และกลับบ้านได้ จึงต้องมีระบบจัดการผู้ป่วยตั้งแต่ลงทะเบียนจนถึงการนัดหมายติดตามผล ทำให้เป็นแผนกที่ต้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยจำนวนมากในแต่ละวัน ลงทะเบียนผู้ป่วยใหม่และผู้ป่วยเก่า พร้อมจัดทำเวชระเบียน คัดกรองอาการเบื้องต้น ตรวจวัดสัญญาณชีพ ให้บริการแพทย์ตรวจรักษาในสาขาต่าง ๆ ส่งต่อผู้ป่วยไปยังแผนก Lab รังสี หรือคลินิกเฉพาะทาง นัดหมายติดตามผล หรือรับยาเพิ่มเติม 1.2 แผนกผู้ป่วยใน (IPD) แผนกผู้ป่วยใน หรือ Inpatient Department (IPD) เป็นแผนกที่รองรับผู้ป่วยที่ต้องแอดมิดหรือนอนค้างคืนที่โรงพยาบาล หรือติดตามเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ โรงเรื้อรัง การผ่าตัดใหญ่ ไปจนถึงผู้ป่วยที่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยชีวิต เช่น การใช้เครื่องช่วยหายใจ โดยการแอดมิตนั้นจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ผู้ให้การรักษา ซึ่งผู้ป่วยจะได้พบก่อนที่แผนก OPD ดูแล ติดตามอาการ และพยาบาลผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง ติดตามอาการและรายงานแพทย์เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง จัดยาและให้ยาตามแผนการรักษา ประสานงานกับแผนกอื่น เช่น รังสี เภสัชกรรม และกายภาพบำบัด ให้คำแนะนำผู้ป่วยและญาติ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนกลับบ้าน 1.3 แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน (ER) แผนก ER เป็นหัวใจสำคัญสำหรับกรณีฉุกเฉินที่ต้องการการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที บุคลากรต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลาเพื่อดูแลผู้ป่วยอาการวิกฤต เช่น อุบัติเหตุรุนแรง อาการหัวใจวาย หรือโรคเฉียบพลัน โดยใช้ การประเมินแบบ Triage เพื่อจัดลำดับความจำเป็นในการรักษา รับผู้ป่วยอุบัติเหตุและโรคฉุกเฉินทุกชนิดตลอด 24 ชั่วโมง ทำ Triage เพื่อจัดระดับความรุนแรงของอาการ ตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นและส่งต่อไป ICU หรือ OR ประสานงานกับทีมศัลยกรรมและแผนกเร่งด่วนอื่น ๆ เกร็ดน่ารู้: การประเมินแบบ Triage คือกระบวนการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความเร่งด่วน โดยตรวจสอบเบื้องต้น และจัดกลุ่มตามสี เพื่อจัดลำดับการรักษาให้เหมาะสมกับความรุนแรงของอาการ 1.4 แผนกผู้ป่วยหนัก (Intensive Care Unit) หรือ ICU ICU (Intensive Care Unit) คือแผนกที่ดูแลผู้ป่วยอาการหนัก ที่ต้องเฝ้าระวังสัญญาณชีพและระบบการทำงานของร่างกายอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เครื่องมือขั้นสูง เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องติดตามสัญญาณชีพ ติดตามระดับออกซิเจน และข้อมูลต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการรักษา เพื่อควบคุมและติดตามอาการอย่างละเอียด ดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤตหรือเสี่ยงต่อการทรุดหนัก ใช้ระบบเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ปรับการรักษาแบบทันที เช่น ปรับเครื่องช่วยหายใจหรือยากระตุ้น ประสานงานกับแพทย์เฉพาะทางหลายสาขา ดูแลและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยวิกฤต 2. แผนกการแพทย์เฉพาะทาง 2.1 แผนกกุมารเวชกรรม (Pediatrics Department) แผนกกุมารเวชกรรม คือแผนกที่ดูแลเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 15 ปี ครอบคลุมทั้งการดูแลสุขภาพทั่วไป การส่งเสริมพัฒนาการ ไปจนถึงการรักษาโรคเฉพาะทาง โดยแผนกกุมารเวชกรรมจะอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นพิเศษ เพราะเด็กมีระบบร่างกายที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ จึงต้องประเมินและดูแลอย่างละเอียด ตรวจรักษาโรคทั่วไปและโรคเฉพาะในเด็ก ฉีดวัคซีนและติดตามพัฒนาการ ประเมินปัญหาการเติบโต ภูมิแพ้ หอบหืด หรือโรคติดเชื้อ ให้คำปรึกษาผู้ปกครองด้านการเลี้ยงดูและสุขภาพเด็ก ประสานการรักษาเด็กที่มีโรคเรื้อรังหรือภาวะซับซ้อน 2.2 แผนกสูตินรีเวชกรรม (Obstetrics & Gynecology Department) แผนกสูตินรีเวชกรรม ดูแลสุขภาพสตรีตั้งแต่วัยเจริญพันธุ์ ตั้งครรภ์ ไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน ให้บริการรับฝากครรภ์ การคลอด การตรวจภายใน รักษาโรคระบบสืบพันธุ์สตรี รวมถึงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก นอกจากนี้ยังมีบริการรักษาภาวะมีบุตรยากในบางโรงพยาบาลด้วย ตรวจครรภ์ ติดตามสุขภาพแม่และทารก ทำคลอดทั้งแบบธรรมชาติและผ่าตัดคลอด ตรวจรักษาโรคสตรี เช่น ซีสต์ เนื้องอก มะเร็งปากมดลูก ตรวจภาวะมีบุตรยากและให้คำปรึกษา เกร็ดน่ารู้: คนข้าม เพศสามารถเข้ารับบริการทางสุขภาพที่แผนกสูตินรีเวชกรรมได้หลากหลายด้าน เช่น การรับฮอร์โมนเพื่อยืนยันเพศสภาพอย่างปลอดภัย การผ่าตัดเพื่อยืนยันเพศสภาพ 2.3 แผนกจักษุ (Ophthalmology Department) แผนกจักษุเป็นแผนกที่ให้บริการตรวจรักษาความผิดปกติของดวงตา ตั้งแต่ภาวะสายตาผิดปกติ อุบัติเหตุที่เกี่ยวกับดวงตา โรคร้ายแรง เช่น ต้อหินหรือจอประสาทตาหลุดลอก ไปจนถึงการผ่าตัดเฉพาะทาง เช่น ผ่าตัดต้อกระจก การยิงเลเซอร์รักษาโรคตา การเลสิก ถือเป็นแผนกที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูง เครื่องมือและเทคโนโลยีขั้นสูง ตรวจวินิจฉัยโรคตาและคัดกรองความผิดปกติ ผ่าตัดต้อกระจก เลเซอร์ตา และหัตถการเฉพาะทาง ประเมินสายตาและออกใบสั่งแว่น ติดตามโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานขึ้นตา ดูแลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉิน เช่น สิ่งแปลกปลอมเข้าตา 2.4 แผนกอายุรกรรม (Medicine Department) แผนกอายุรกรรม คือ แผนกที่ดูแลโรคระบบอวัยวะภายในเกือบทั้งหมด ให้การรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะซับซ้อนหรือหลายโรคร่วมกัน เช่น หัวใจ ปอด ไต เบาหวาน และโรคติดเชื้อต่าง ๆ แพทย์อายุรกรรมจะต้องวิเคราะห์รายละเอียดจากข้อมูลห้องปฏิบัติการ ผลแล็บและภาพเอกซ์เรย์ โดยแผนกนี้ยังแบ่งเป็นสาขาย่อยได้อีก เช่น อายุรกรรมหัวใจ อายุรกรรมไต อายุรกรรมต่อมไร้ท่อ ประเมินผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนหลายระบบ จัดการโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ประสานการดูแลกับ ICU หรือแผนก IPD ตามอาการ ติดตามผลตรวจเลือดและภาพวินิจฉัยเพื่อวางแผนรักษา 2.5 แผนกหู คอ จมูก (Ear nose and throat Department) แผนกหู คอ จมูก เป็นแผนกที่ดูแลเรื่องการได้ยิน การหายใจ การพูด ปัญหาด้านโครงสร้างของศีรษะและคอ รวมไปถึงภาวะเวียนศีรษะและการทรงตัว ผู้ป่วยอาจเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ การรักษาครอบคลุมตั้งแต่โรคติดเชื้อเล็กน้อยถึงการผ่าตัดซับซ้อน เช่น ผ่าตัดไซนัส ตรวจรักษาโรคหู เช่น การติดเชื้อ ปัญหาการได้ยินลดลง ดูแลโรคเกี่ยวกับจมูกและไซนัส รวมถึงผ่าตัดไซนัส รักษาโรคคอ กล่องเสียง ภาวะเสียงแหบ ประเมินอาการเวียนศีรษะและโรคเกี่ยวกับการทรงตัว ตรวจวินิจฉัยด้วยกล้องส่องและอุปกรณ์เฉพาะทาง 2.6 แผนกจิตเวช (Psychology Department) แผนกจิตเวชเป็นแผนกที่ดูแลรักษาปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรคไบโพลาร์ รวมถึงปัญหาพฤติกรรม การเสพติด และความเครียดเรื้อรัง โดยแพทย์จะให้การรักษาหลายแบบ ทั้งการให้ยา จิตบำบัด ให้คำปรึกษา หรือใช้กิจกรรมบำบัด โดยมีนักจิตบำบัดทำงานร่วมด้วย เพื่อออกแบบการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละบุคคล ประเมินสภาพจิตใจและวินิจฉัยโรค ให้คำปรึกษาครอบครัวและผู้ดูแล ให้การบำบัดรายบุคคลหรือแบบกลุ่ม ติดตามการใช้ยาและการตอบสนองต่อการรักษา ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ ดูแลปัญหาาทางพฤติกรรม เช่น ปัญหาความสัมพันธ์ ปัญหาก้าวร้าว ปัญหาติดการพนัน 3. แผนกวินิจฉัยและสนับสนุนการรักษา 3.1 แผนกรังสี (Radiology Department) แผนกรังสีทำหน้าที่ตรวจวินิจฉัยความผิดปกติในร่างกายด้วยเครื่องมือที่แม่นยำสูงและภาพถ่ายรังสี เช่น เอกซเรย์ (X-ray) ซีทีสแกน (CT Scan) เอ็มอาร์ไอ (MRI) และอัลตราซาวด์ (Ultrasound) โดยมีรังสีแพทย์ให้คำปรึกษาด้านการวิเคราะห์ภาพและสื่อสารกับแพทย์เจ้าของไข้ ถ่ายภาพวินิจฉัยทุกประเภท เช่น ภาพเอกซเรย์ทั่วไป แมมโมแกรม (Mammography) อัลตราซาวด์ (Ultrasound) ซีทีสแกน (CT Scan) การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) วิเคราะห์ภาพและรายงานผล ประสานงานกับแพทย์เฉพาะทางเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ควบคุมการรับรังสีเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย ให้บริการหัตถการภายใต้ภาพนำทาง เช่น CT-guided biopsy 3.2 แผนกเภสัชกรรม (Pharmaceutical Department) แผนกเภสัชกรรมดูแลด้านยาและเวชภัณฑ์ จัดซื้อ จัดหา จ่ายยาให้กับผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ไปจนถึงงานบริหารควบคุมการใช้ยาและเวชภัณฑ์ในแผนกต่าง ๆ ของโรงพยาบาล เพื่อรักษามาตรฐานและความปลอดภัยด้านยา ป้องกันความเสี่ยง ลดโอกาสที่ผู้ป่วยจะได้รับยาคลาดเคลื่อน จ่ายยาให้ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน และแผนกอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบความถูกต้องของใบสั่งยา ให้คำแนะนำการใช้ยาและผลข้างเคียง ควบคุมคุณภาพยาและบริหารจัดการคลังยา ติดตามการใช้ยาและเวชภัณฑ์ในโรงพยาบาลและป้องกันความคลาดเคลื่อน 3.3 แผนกห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (Laboratory Department) แผนกห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ เป็นแผนกที่ตรวจวิเคราะห์สิ่งส่งตรวจต่าง ๆ เช่น ปัสสาวะ ชิ้นเนื้อ เนื้อเยื่อ เพื่อสนับสนุนการวินิจฉัยโรค ตรวจหาความเสี่ยงโรค และติดตามประเมินผลข้างเคียงจากการรักษา โดยแผนนี้ยังแบ่งออกเป็นหลายสาขา เช่น เคมีคลินิก (Clinical Chemistry) โลหิตวิทยาคลินิก (Clinical Hematology) พิษวิทยาคลินิก (Clinical Toxicology) ตรวจเลือดและสารชีวภาพหลากหลายประเภท เช่น เลือด ปัสสาวะ อุจจาระ สารคัดหลั่ง ตรวจหาการติดเชื้อและโรคเฉพาะทาง วิเคราะห์ผลและรายงานต่อแพทย์ ควบคุมคุณภาพเครื่องมือและกระบวนการตรวจ 3.4 แผนกศัลยกรรม (Surgical Department) แผนกศัลยกรรมดูแลการผ่าตัด ทั้งผ่าตัดเล็กและผ่าตัดใหญ่ รวมถึงโรคที่ต้องใช้การรักษาด้วยการผ่าตัดเป็นหลัก เช่น ไส้ติ่ง เนื้องอก หรืออุบัติเหตุ โดยศัลยแพทย์จะทำงานร่วมกับห้องผ่าตัด ห้องพักฟื้น และแผนกวิสัญญี เพื่อให้การผ่าตัดปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตรวจประเมินสภาพผู้ป่วยก่อนการผ่าตัดอย่างละเอียด ก่อนวางแผนการรักษา วางแผนการผ่าตัดร่วมกับแพทย์เฉพาะทาง วิสัญญี พยาบาลห้องผ่าตัด ติดตามอาการหลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิด ประเมินอาการปวด อาการแทรกซ้อน ประสานงานกับหอผู้ป่วยหรือ ICU เพื่อเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องและดูแลอย่างเหมาะสม 3.5 แผนกวิสัญญี (Department of Anesthesia) แผนกวิสัญญีดูแลการให้ยาชา ยาสลบ และควบคุมการระงับความรู้สึกของผู้ป่วยในระหว่างผ่าตัด ทีมวิสัญญีต้องดูแลสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน รวมถึงการดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดในห้องพักฟื้น และการระงับปวดในกรณีเฉพาะ ประเมินผู้ป่วยก่อนการดมยา ให้ยาชาเฉพาะที่ ยาบล็อกหลัง และยาสลบ เฝ้าติดตามสัญญาณชีพระหว่างผ่าตัด ดูแลผู้ป่วยในห้องพักฟื้น บริหารจัดการอาการปวดหลังผ่าตัดทั้งระยะสั้นและระยะยาว ประสานงานกับศัลยแพทย์และทีม ICU กรณีผู้ป่วยความเสี่ยงสูง 3.6 แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู (Physical Therapy Department) แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู คือ แผนกที่ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาเคลื่อนไหวร่างกาย และใช้ชีวิตประจำวันได้หลังจากเจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรือผ่าตัด โดยอาศัยวิธีการฟื้นฟูหลากหลายแบบ เช่น การทำกายภาพ การใช้เครื่องมือไฟฟ้ากายภาพ โดยการทำกายภาพบำบัดมีบทบาทสำคัญในกลุ่มโรคกระดูกและข้อ ระบบประสาท และผู้ป่วยหลังผ่าตัดใหญ่ ประเมินความสามารถด้านการเคลื่อนไหวและจุดอ่อนของผู้ป่วย จัดโปรแกรมกายภาพแบบรายบุคคลตามโรคและความรุนแรง แนะนำการใช้เครื่องช่วยเดินและอุปกรณ์ช่วยเหลือ ดูแลผู้ป่วยโรคระบบประสาท เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคพาร์กินสัน ฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัด เช่น เปลี่ยนข้อเข่า กระดูกหัก ทำไมคนไข้ถึงควรรู้จักแผนกในโรงพยาบาล? 1. ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้เร็วขึ้น เมื่อผู้ป่วยรู้จักแผนกในโรงพยาบาลแล้ว จะช่วยให้เข้ารับบริการได้จุดตั้งแต่แรก ลดเวลาการค้นหาข้อมูลหรือไปผิดแผนก โดยเฉพาะในกรณีฉุกเฉินหรือมีอาการเจ็บป่วยเฉพาะทาง ผู้ป่วยจะไปยังแผนกที่ถูกต้องได้ทันที ทำให้เริ่มต้นการรักษาได้เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังช่วยลดความแออัดในแผนกอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องอีกด้วย 2. ลดความสับสนเมื่อต้องเข้ารับบริการ ผู้ป่วยหลายคนมักสับสนเมื่อเข้าโรงพยาบาล เพราะไม่รู้ว่าแผนกไหนดูแลเรื่องอะไร การทำความรู้จักแผนกโรงพยาบาลไว้ก่อน จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้ลำดับขั้นตอน เช่น ต้องพบแพทย์ก่อนตรวจเลือด หรือจำเป็นต้องไปจุดคัดกรองก่อนเข้าห้องตรวจ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจระบบการบริการ เช่น ทำไมบางแผนกต้องนัดล่วงหน้า หรือทำไมบางแผนกต้องใช้ผลตรวจประกอบ จึงทำให้ประสบการณ์การเข้ารับบริการราบรื่นขึ้นและลดความกังวลได้ 3. ประสานงานหรือส่งต่อได้ราบรื่นขึ้น การรักษาในโรงพยาบาลมักเกี่ยวข้องกับหลายแผนก ตั้งแต่การวินิจฉัย การตรวจเพิ่มเติม ไปจนถึงการรักษาเฉพาะทาง หากผู้ป่วยรู้จักหน้าที่ของแต่ละแผนก จะทำให้การประสานงานระหว่างผู้ป่วย–เจ้าหน้าที่เป็นไปแบบไม่ติดขัด และเพิ่มความปลอดภัยของผู้ป่วยในภาพรวม คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแผนกในโรงพยาบาล 1.ไม่แน่ใจว่าป่วยเป็นอะไร ควรไปแผนกไหนดี? หากไม่ทราบว่าอาการป่วยเกี่ยวข้องกับระบบใด ควรเริ่มที่แผนกผู้ป่วยนอก (OPD) หรือจุดคัดกรองเพื่อประเมินอาการก่อน และให้เจ้าหน้าที่ส่งต่อไปยังแผนกที่เหมาะสม หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก ชัก หรือเลือดออกมาก ควรไปที่แผนกฉุกเฉิน (ER) ทันที 2. ผู้ป่วยใหม่ต้องทำอย่างไร? เริ่มจากการลงทะเบียนที่เวชระเบียนเพื่อสร้างข้อมูลผู้ป่วย จากนั้นเข้าสู่การคัดกรองและพบแพทย์ตามอาการ เจ้าหน้าที่จะอำนวยความสะดวกเรื่องการตรวจเพิ่มเติม เช่น แล็บหรือเอกซเรย์ ให้ครบขั้นตอน ก่อนจ่ายยาและทำการรักษา รวมถึงนัดหมายติดตามผลต่อไป 3. แผนกผู้ป่วยนอก (OPD) ต่างจากแผนกผู้ป่วยใน (IPD) อย่างไร? แผนกผู้ป่วยนอกหรือ OPD คือ แผนกที่ผู้ป่วยเข้ารับการวินิจฉัย รักษา และกลับบ้านได้ ส่วนแผนกผู้ป่วยใน หรือ IPD คือ การรักษาที่ผู้ป่วยต้องนอนที่โรงพยาบาล เพื่อเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด รวมถึงการรักษาที่ซับซ้อน 4. โรงพยาบาลรัฐกับเอกชนมีแผนกต่างกันหรือไม่? โรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนมักมีแผนกพื้นฐานคล้ายกัน เช่น OPD, IPD, ER, ห้องแล็บ และรังสี แต่จะแตกต่างกันที่ความหลากหลายของแผนกเฉพาะทาง ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาด ศักยภาพทางการแพทย์ และความเชี่ยวชาญของแต่ละโรงพยาบาล 5. แผนกเฉพาะทางจำเป็นต้องมีในทุกโรงพยาบาลหรือไม่? ทุกโรงพยาบาลไม่จำเป็นต้องมีแผนกเฉพาะทาง ขึ้นอยู่กับขนาดและศักยภาพทางการแพทย์ หากโรงพยาบาลใดไม่มีบริการแผนกเฉพาะทาง ก็จะส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า 6. ต้องนัดหมายล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการในโรงพยาบาลหรือไม่? ไม่ใช่ทุกแผนกที่ต้องนัดล่วงหน้า แต่บางแผนก เช่น รังสีขั้นสูง คลินิกเฉพาะทาง หรือการตรวจพิเศษ มักต้องนัดล่วงหน้าเพื่อบริหารคิว ปัจจุบันหลายโรงพยาบาลรองรับการนัดออนไลน์ผ่านระบบ HIS หรือแอปพลิเคชันของโรงพยาบาล MEDHIS ระบบโรงพยาบาลพร้อมโมดูลพื้นฐานครบครัน MEDHIS ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (Hospital Information System – HIS) ที่ออกแบบและพัฒนาโดย MEDcury มาพร้อมโมดูลการทำงานพื้นฐานในโรงพยาบาลที่ครบครัน รองรับการทำงานของโรงพยาบาลทุกขนาด รวมถึงสถานพยาบาลประเภทอื่น ๆ ในธุรกิจเฮลท์แคร์ มาพร้อมคุณสมบัติที่ตอบโจทย์การพัฒนา Smart Hospital ไม่ว่าจะเป็น Full EMR system เชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยทุกแผนกด้วยระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร เพื่อให้แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ลดการทำงานซ้ำซ้อนและข้อผิดพลาดในการรักษา Web-based & Cloud Native รองรับการทำงานบนระบบ Web-based และ Cloud Native ตอบโจทย์การใช้งานของ Smart Hospital ที่ต้องการความยืดหยุ่น ปลอดภัย และรองรับการเติบโตในอนาคต Web Responsive ออกแบบระบบให้ใช้งานได้จากทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ตโฟน เข้าถึงข้อมูลเวชระเบียนได้สะดวก ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้เร็วขึ้น Paperless Transformation เปลี่ยนผ่านสู่โรงพยาบาลไร้กระดาษ (Paperless Hospital) ด้วยระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร ลดการใช้กระดาษ ลดความเสี่ยงจากการจัดเก็บเอกสารแบบเดิม และเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา แบ่งปัน และส่งต่อข้อมูลภายในโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย สถานพยาบาลหรือธุรกิจเฮลท์แคร์ที่กำลังมองหาระบบ HIS ที่พร้อมรองรับการเติบโตในยุคดิจิทัล และเปิดรับศักยภาพใหม่ ๆ เพื่อยกระดับการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก MEDcury ยินดีให้คำปรึกษา ทั้งด้านเทคนิคและการปรับใช้ระบบให้เข้ากับบริบทของสถานพยาบาล ติดต่อเราเพื่อพูดคุยกับทีมของเราได้โดยตรงที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล: sales@medcury.health ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook: facebook.com/medcury.health/ LinkedIn: linkedin.com/company/medcury YouTube: https://www.youtube.com/@MEDcury
- ระบบ HIE ในโรงพยาบาล: อนาคตของการจัดการข้อมูลในโรงพยาบาล
ทำความรู้จักระบบ HIE (Health Information Exchange) คืออะไร ช่วยยกระดับวงการสาธารณสุขไทยได้อย่างไร และช่วยต่อยอดโอกาสทางธุรกิจเฮลท์แคร์ได้อย่างไร Table of Contents ระบบ HIE คืออะไร? ประโยชน์ของนำระบบ HIE เข้ามาใช้ในสถานพยาบาล? ระบบ HIE กับการต่อยอดโอกาสทางธุรกิจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Health Information Exchange (HIE) Key Takeaways Health Information Exchange (HIE) คือ ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพระหว่างโรงพยาบาล คลินิก และสถานพยาบาลต่าง ๆ อย่างปลอดภัยตามมาตรฐาน กฎหมาย และข้อบังคับ HIE ทำให้ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยเข้าถึงได้อย่างครบถ้วนและรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ป่วยประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่ายจากการตรวจซ้ำ และได้รับการรักษาที่ต่อเนื่องและแม่นยำขึ้น บุคลากรทางการแพทย์ใช้ข้อมูลที่เชื่อมโยงกันเหล่านี้เพื่อวินิจฉัย วางแผนการรักษา และติดตามผลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณอาจจะเคยสงสัยว่าทำไมเวลาที่เราเปลี่ยนโรงพยาบาลใหม่ เราถึงต้องไปขอข้อมูลประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลเดิม ซึ่งทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายด้วย ผลลัพธ์ปลายทางของ Health Information Exchange หรือ HIE จึงถูกสร้างมาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ป่วย แต่รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วประโยชน์ของ HIE ไม่ได้มีเพียงเท่านี้หรอกนะ เรามาดูกันดีกว่าว่าจริง ๆ แล้ว HIE สามารถทำอะไรได้อีกบ้าง? ระบบ HIE คืออะไร? ระบบ HIE ย่อมาจากคำว่า Health Information Exchange คือการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพที่ช่วยให้ผู้ให้บริการด้านสุขภาพสามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างรวดเร็วไร้รอยต่อ ในขณะเดียวกันข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยก็ยังคงมีความปลอดภัย ทั้งในแง่ของความเป็นส่วนตัวที่ผู้ป่วยต้องมีการให้ความยินยอม (Consent) ในการเข้าถึงข้อมูล และการเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption) เพื่อทำให้ข้อมูลเป็นความลับ รวมไปถึงแง่ของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลจากการโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Security) ด้วยการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยต่าง ๆ ประโยชน์ของนำระบบ HIE เข้ามาใช้ในสถานพยาบาล ? 1. สามารถเพิ่มความพึงพอใจให้กับผู้ป่วยได้ เมื่อเราสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องไม่ต้องผลักภาระให้ผู้ป่วยกลับไปติดต่อกับโรงพยาบาลเก่าเพื่อขอประวัติการรักษาอีกต่อไป ผู้ป่วยจึงได้รับความสะดวกสบาย ประหยัดทั้งเงินและเวลา และได้รับการรักษาที่รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้เมื่อมีประวัติการรักษาแล้ว แพทย์ที่ทำการรักษาก็สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจในการรักษาได้ ทำให้สามารถวินิจฉัยและรักษาได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น รวมถึงลดขั้นตอนการตรวจซ้ำ หรือแม้แต่การจ่ายยาซ้ำซ้อน หรือยาที่แพ้ และลดการจ่ายยาผิดพลาด ซึ่งนอกจากจะทำให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ป่วยอีกด้วย 2. สามารถเข้าถึงข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) สถานพยาบาลสามารถเข้าถึงบิ๊กดาต้าจากผู้ป่วยที่ให้ความยินยอม ซึ่งอาจนำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอดการดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลในด้านต่าง ๆ ได้ เช่น การเพิ่มศักยภาพการรักษาพยาบาล การเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร การใช้ประโยชน์ทางการตลาด เป็นต้น ระบบ HIE กับการต่อยอดโอกาสทางธุรกิจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แรกเริ่มเดิมทีระบบ HIE อาจถูกพัฒนามาเพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลปริมาณมหาศาลเท่านั้น แต่แน่นอนว่ายังมีแนวทางอีกมากมายที่เราสามารถต่อยอด ระบบ HIE ให้สามารถสร้างประโยชน์ได้มากกว่าแค่การแลกเปลี่ยนข้อมูล MEDcury ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยเคสนี้ Healthix เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสาธารณสุขที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีข้อมูลของผู้ป่วยมากกว่า 20 ล้านคนจากสถานพยาบาลมากกว่า 8,000 แห่ง ซึ่งนอกจากจะเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยระหว่างสถานพยาบาลแล้ว Healthix ยังได้นำข้อมูลจากผู้ป่วยที่ให้ความยินยอมมาพัฒนาต่อยอดระบบเป็น Healthix Analytics ที่แสดงผลการวิเคราะห์ของข้อมูลทางคลินิก การพบแพทย์ และปัจจัยทางด้านสังคมที่มีผลต่อสุขภาพ เช่น ระดับการศึกษา รายได้ครัวเรือน ความครอบคลุมของประกัน หรือแม้แต่การถือสัญชาติอเมริกา เป็นต้น โดยใช้อัลกอริธึมความเสี่ยงต่าง ๆ แล้วแสดงผลในรูปแบบ Dashboard รวมถึงตัวเลขคะแนนความเสี่ยง และรายงานเพื่อสนับสนุนการจัดการในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพของประชากรและผู้ป่วย (Population Health and Patient Risk Management) ที่ช่วยระบุว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มจะเป็นโรคร้ายแรงสูงหรือเพิ่มขึ้นหรือไม่ เช่น หัวใจวาย เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น การจัดการการกลับเข้ามารับการรักษาซ้ำใน 30 วัน (30 Days Readmission Management) ที่ช่วยคาดการณ์แนวโน้มที่ผู้ป่วยจะกลับมาเข้ารับการรักษาซ้ำในฐานะผู้ป่วยในหรือกลับมาที่แผนกฉุกเฉินภายใน 30 วัน พูดง่าย ๆ คือ Healthix Analytics เข้ามาช่วยทำให้สถานพยาบาลสามารถเข้าถึงผู้ป่วยในเชิงรุกและจัดการดูแลเพื่อป้องกันโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อลดอัตราการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือการมาตรวจที่แผนกฉุกเฉินโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้สถานพยาบาลยังสามารถเตรียมพร้อมตัวเองสำหรับการดูแลสุขภาพที่เน้นคุณค่า (Value-based care) ทำให้ผู้ป่วยพึงพอใจในการบริการและการรักษามากยิ่งขึ้นอีกด้วย ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรได้อย่างดีเยี่ยม คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Health Information Exchange (HIE) 1. HIE (Health Information Exchange) คืออะไร? HIE คือ ระบบที่ช่วยให้โรงพยาบาล คลินิก และหน่วยงานสุขภาพ เชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย ทำให้แพทย์และผู้ป่วยเข้าถึงประวัติการรักษาได้ทุกที่ แม้ย้ายสถานพยาบาลที่รับบริการ 2. HIE (Health Information Exchange) มีประโยชน์อะไรบ้าง? HIE ทำให้การรักษาต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะแพทย์เห็นข้อมูลและประวัติผู้ป่วยครบถ้วน ลดความผิดพลาด ลดการตรวจซ้ำ และช่วยให้ตัดสินใจรักษาได้เร็วและแม่นยำ นอกจากนี้ยังรองรับการดูแลแบบดิจิทัล เช่น Telemedicine 3. HIE (Health Information Exchange) ทำงานอย่างไร? ระบบ HIE จะดึงข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ระบบ HIS (Hospital Information System) ระบบ EMR (Electronic Medical Record) หรือข้อมูลจากห้องปฏิบัติการ แล้วจัดรูปแบบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เช่น มาตรฐาน HL7 FHIR จากนั้นจึงส่งข้อมูลให้สถานพยาบาลที่มีสิทธิ์การเข้าถึงตามที่กำหนดไว้ 4. HIE (Health Information Exchange) แลกเปลี่ยนข้อมูลอะไรได้บ้าง? ข้อมูลที่แลกเปลี่ยนผ่านระบบ HIE ได้มีทั้งประวัติการรักษา ยาและการแพ้ยา ผลตรวจแล็บ ผลเอกซเรย์ บันทึกวินิจฉัย ใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ และสรุปการจำหน่ายผู้ป่วย ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสถานพยาบาล เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์มีข้อมูลสำหรับดูแลผู้ป่วยอย่างครบถ้วน 5. ใครที่เข้าถึงข้อมูลในระบบ HIE (Health Information Exchange) ได้บ้าง? ผู้ที่เข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยในระบบ HIE มีเฉพาะแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่เข้าถึงข้อมูลได้ โดยต้องมีเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับการรักษาผู้ป่วย และทุกครั้งที่มีการเข้าถึง ระบบจะบันทึกไว้เพื่อความปลอดภัย จากตัวอย่างที่เรายกมาพอจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้วใช่ไหมล่ะ ว่าระบบ HIE ไม่ได้มีประโยชน์แค่กับตัวผู้ป่วยเองเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์กับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ รวมถึงผู้บริหารหรือทีมพัฒนาธุรกิจโรงพยาบาลอีกด้วย และที่สำคัญที่สุดคือเราสามารถต่อยอดระบบ HIE เพื่อสร้างประโยชน์ได้อีกมากมายเลยล่ะ สำหรับใครที่อยากพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านสุขภาพ สามารถพูดคุยกับพวกเรา MEDcury ได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล: sales@medcury.health ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook: facebook.com/medcury.health/ LinkedIn: linkedin.com/company/medcury YouTube: https://www.youtube.com/@MEDcury อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.healthit.gov/topic/health-it-and-health-information-exchange-basics/what-hie https://healthix.org/what-we-do/services/healthix-analytics/
- เทรนด์ Digital Health 2026 มีเทคโนโลยีอะไรบ้างที่น่าติดตาม
ติดตามเทรนด์ Digital Health ที่อาจเกิดขึ้นในปี 2026 ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาการวินิจฉัยโรคด้วย AI และนวัตกรรมอื่น ๆ มายกระดับวงการเฮลท์แครขึ้นอีกขั้น Table of Contents Digital Health คืออะไร? 8 เทรนด์ Digital Health 2026 มีอะไรที่น่าติดตามบ้าง? Digital Health สำคัญอย่างไรต่อระบบสาธารณสุข คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Digital Health Key Takeaways เทรนด์ Digital Health ที่อาจพัฒนายิ่งขึ้นในปี 2026 มีตั้งแต่การนำ Generative AI มาใช้พัฒนายา รูปแบบการรักษา ไปจนถึงจำลองข้อมูลผู้ป่วย และการใช้งานด้านพันธุกรรม นอกจากนี้ยังมีการปรับใช้หุ่นยนต์และเทคโนโลยีเสมือน เพื่อยกระดับการให้บริการสาธารณสุขอีกด้วย Digital Health สำคัญอย่างยิ่งต่อระบบสาธารณสุข เพราะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล และเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจทางการแพทย์ อีกทั้งยังสร้างการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างโรงพยาบาลและหน่วยบริการต่าง ๆ ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ ปี 2026 กำลังจะเป็นก้าวใหม่ Digital Health เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว เดินหน้าเปลี่ยนวิธีการดูแลสุขภาพอย่างก้าวกระโดด ตั้งแต่ AI อัจฉริยะที่ช่วยวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น ไปจนถึงโรงพยาบาลเสมือน และหุ่นยนต์ทางการแพทย์ ใครที่อยากรู้ว่าเทคโนโลยีไหนจะเข้ามาพัฒนาด้านเฮลท์แคร์ขึ้นอีกระดับ MEDcury จะพาไปสำรวจทุกนวัตกรรมที่ไม่ควรพลาด Digital Health คืออะไร? Digital Health คือ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศ และเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้งานในด้านการแพทย์ ช่วยยกระดับการรักษาโรค ดูแลสุขภาพ ยกระดับศักยภาพด้านสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้เร็วขึ้น ลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ โดย องค์ประกอบหลักของ Digital Health ตามยุทธศาสตร์สุขภาพดิจิทัล กระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ eHealth การใช้ระบบดิจิทัลและข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อสนับสนุนบริการสุขภาพ mHealth การใช้สมาร์ตโฟนและอุปกรณ์พกพาเพื่อติดตามและดูแลสุขภาพ Telemedicine หรือ Telehealth การให้บริการแพทย์และให้คำปรึกษาทางไกลผ่านระบบการแพทย์ทางไกล Artificial Intelligence (AI) การใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยวินิจฉัย วิเคราะห์ และตัดสินใจด้านการแพทย์ Big Data Analytics การวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพจำนวนมาก เพื่อคาดการณ์โรคล่วงหน้า และเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลรักษาผู้ป่วย IoT & Wearables อุปกรณ์สวมใส่และเซ็นเซอร์ที่เชื่อมต่อกัน เพื่อเก็บข้อมูลสุขภาพแบบเรียลไทม์และต่อเนื่อง Robotics & Automation การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติช่วยผ่าตัด ดูแล และสนับสนุนงานโรงพยาบาล Genomics & Advanced Computing การประมวลผลข้อมูลขั้นสูงและประมวลข้อมูลพันธุกรรม เพื่อการรักษาเฉพาะบุคคล Digital Platforms & Interoperability แพลตฟอร์มหรือระบบ และมาตรฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงระบบสุขภาพให้ทำงานร่วมกันได้ Governance & Data Security การกำกับดูแล มาตรฐานข้อมูล และความปลอดภัยเพื่อปกป้องข้อมูลสุขภาพ 8 เทรนด์ Digital Health 2026 มีอะไรที่น่าติดตามบ้าง? 1. Generative AI ช่วยเรื่องการวิจัยยาใหม่ ในปี 2025 Generative AI สร้างความก้าวหน้าทางการแพทย์หลายด้าน รวมถึงเป็นตัวช่วยพัฒนายาและวิธีรักษาโรคใหม่ ๆ เข้าสู่ระยะทดลองทางคลินิก หลังจากทดสอบเบื้องต้นแล้ว (Proof of concept) คาดว่าปี 2026 นักวิจัยจะใช้ Generative AI เป็นตัวช่วยกันมากขึ้น เพื่อวิเคราะห์การใช้ยา จำลองปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นต่อร่างกายมนุษย์ และออกแบบการรักษาที่ผู้ป่วยเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม 2. AI Agents ด้านสาธารณสุข AI Agents เป็นการพัฒนา AI ให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำงานที่ซับซ้อนได้ และยังสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้อีกด้วย ในปี 2026 AI Agents จึงอาจพบเห็นในวงการสาธารณสุขหรือธุรกิจเฮลท์แคร์มากขึ้น โดยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยจัดการกระบวนการรักตลอดการเข้ารับบริการ ตั้งแต่การคัดกรอง การนัดหมาย การวิเคราะห์ผลการตรวจ แจ้งเตือนเมื่อพบความผิดปกติ ไปจนถึงติดตามดูแลผลการรักษา ช่วยสนับสนุนการดูแลสุขภาพเชิงรุกมากยิ่งขึ้น ข้อควรรู้: AI Agents คือ โปรแกรมซอฟต์แวร์หรือระบบปัญญาประดิษฐ์ ที่ทำงานหรือตัดสินใจได้แทนมนุษย์ โดย AI Agents จะวิเคราะห์ข้อมูล ประมวลผล ติดสินใจ หรือตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ ตามกฎที่วางไว้ เช่น AI Chatbot, Machine Learning รวมไปถึงระบบวิเคราะห์ข้อความหรือ การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) 3. จากการแพทย์ทางไกล สู่ Virtual Hospitals ในปี 2026 แนวคิด Telemedicine หรือการแพทย์ทางไกลจะพัฒนาเป็น Virtual Hospitals หรือโรงพยาบาลเสมือน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้แบบครบวงจร หรือพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากทุกที่ได้ แม้ผู้ป่วยอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาล SEHA Virtual Hospital จากประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อสถานพยาบาลกว่า 130 แห่ง รองรับผู้ป่วยได้กว่า 400,000 คนต่อปี UK NHS Online Hospita l ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติสหราชอาณาจักร (UK NHS) มีแผนสร้าง Online Hospital เพื่อรองรับประชากรผู้สูงอายุให้เข้าถึงผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขได้สะดวกมากขึ้น 4. AI สำหรับการวินิจฉัยโรค ในปี 2026 การใช้ Generative AI เป็นผู้ช่วยวิเคราะห์หรือวินิจฉัยโรคจะแพร่หลายมากขึ้น เพื่อให้แพทย์หรือบุคลากรด่านหน้าตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้น ใช้เวลากับผลแล็บหรือผลตรวจน้อยลง และใช้เวลากับการรักษาผู้ป่วยมากขึ้น โดยปี 2025 มีการทดลองใช้ AI เป็นตัวช่วยวินิจฉัยโรคหลายด้าน เช่น ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม การ คัดกรองโรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจ 5. AI กับ CRISPR เทคโนโลยีดัดแปลงพันธุกรรม เทคโนโลยี CRISPR (Clustered Regularly Interspaced Short Palindromic Repeats) เป็นเทคโนโลยีดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อรักษาโรคทางพันธุกรรมต่าง ๆ โดย AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองเกี่ยวกับการตัดต่อและเชื่อมสารพันธุกรรม ให้ทำได้เร็วขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น ในปี 2026 จึงเป็นไปได้ว่า AI อาจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาการรักษาโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคมะเร็ง โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคฮันติงตัน (Huntington's Disease) และโรคอื่น ๆ ที่เกิดจากพันธุกรรมต่าง ๆ ต่อไปเราอาจได้เห็นการทดลองทางคลินิก ซึ่งถือเป็นสัญญาณของการแพทย์ยุคใหม่เลยก็ว่าได้ 6. การคำนวณเชิงควอนตัมในธุรกิจเฮลท์แคร์ ในอนาคตเราอาจะได้เห็นการคำนวณเชิงควอนตัม (Quantum computing) มาใช้ในทางการแพทย์ โดยอาจมาในรูปแบบการจำลองระบบระดับควอนตัม ซึ่งช่วยจำลอง Protein Folding (ขั้นตอนที่กรดอะมิโนขดตัวกลายเป็นโปรตีนในรูปแบบโครงสร้าง 3 มิติ) การทำปฏิกิริยาของยา และกระบวนการทางพันธุกรรมได้แม่นยำกว่าเดิม เรื่องน่ารู้: การคำนวณเชิงควอนตัม (Quantum computing) คือ การประมวลผลทางคลินิกในรูปแบบหน่วย คิวบิต (Qubit) ซึ่งย่อมาจาก Quantum Bit ทำให้ประมวลผลข้อมูลได้หลายสถานะ รวดเร็วยิ่งขึ้น จึงประมวลผลชุดคำสั่งได้หลายชุดในครั้งเดียว ลดเวลาในการประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ 7. การปรับใช้หุ่นยนต์ในสถานการณ์จริง ตั้งแต่หุ่นยนต์ผ่าตัดไปจนถึงหุ่นยนต์พนักงานในโรงพยาบาล อาจพบเห็นได้มากขึ้นในสถานพยาบาลในปี 2026 รวมถึงหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเริ่มใช้งานแล้วในประเทศญี่ปุ่นและประเทศเกาหลีใต้ รวมถึงการพัฒนาหุ่นยนต์อัจฉริยะที่ช่วยลดภาระเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล ซึ่งจะช่วยลดปัญหาขาดแคลนบุคลากร อย่างไรก็ตามคงต้องติดตามกันต่อว่าการนำหุ่นยนต์มาใช้ในสถานการณ์จริงจะส่งผลดีต่อแพทย์และผู้ป่วยอย่างไรบ้าง 8. การจำลองข้อมูลสุขภาพจาก AI Generative AI ไม่เพียงสร้างข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอเท่านั้น แต่ยังจำลองข้อมูลต่าง ๆ ได้อีกด้วย โดยบริษัทเภสัชกรรมและผู้พัฒนา AI สามารถใช้ข้อมูลสุขภาพสังเคราะห์ (Synthetic Health Data) ในการฝึกโมเดล AI โดยไม่ต้องใช้ข้อมูลสุขภาพจากผู้ป่วยจริง ซึ่งอาจมีต้นทุนสูงและเสี่ยงต่อความปลอดภัย อย่างไรก็ตามแม้การใช้ AI สร้างชุดข้อมูลเพื่อทดลองจะแพร่หลายมากขึ้น แต่อนาคตเราอาจได้เห็นนวัตกรรมที่ช่วยให้ข้อมูลปลอดภัยแม่นยำมากขึ้น เพื่อประเมินความเสี่ยงหากโมเดล AI ได้รับข้อมูลสังเคราะห์มากเกินไป Digital Health สำคัญอย่างไรต่อระบบสาธารณสุข 1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร Digital Health ช่วยให้บุคลากรสาธารณสุขทำงานได้รวดเร็ว แม่นยำ และลดภาระงานเอกสาร ผ่านการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านระบบ HIS และระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่ช่วยตัดสินใจได้ดีขึ้น ช่วยให้เจ้าหน้าที่มีสมาธิกับงานดูแลผู้ป่วยได้เต็มที่ 2. สร้างเครือข่ายเชื่อมโยงในโรงพยาบาล ระบบสุขภาพดิจิทัลช่วยลดปัญหาข้อมูลอยู่แยกกัน ซึ่งเป็นปัญหาหลักของระบบสาธารณสุขไทยที่ข้อมูลกระจัดกระจาย และไม่สามารถแลกเปลี่ยนข้ามหน่วยงานได้ การมีมาตรฐานข้อมูลและระบบที่เป็นศูนย์กลางข้อมูล ทำให้ข้อมูลผู้ป่วย การวินิจฉัย ผลตรวจ และประวัติการรักษาเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ 3. ยกระดับคุณภาพการดูแลผู้ป่วย เมื่อบุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องได้เร็วขึ้น ผู้ป่วยก็เข้าถึงการรักษาได้เร็วขึ้นตามไปด้วย ช่วยให้การดูแลผู้ป่วยมีคุณภาพสูงขึ้น ทั้งการวินิจฉัย การดูแลรักษา การจัดยา และติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง ครบถ้วน 4. ยกระดับประสบการณ์รักษาของผู้ป่วย ตั้งแต่ขั้นตอนการนัดหมาย รับคำวินิจฉัย รักษาโรค ผลตรวจ ไปจนถึงการติดตามอาการ Digital Health ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านแอปพลิเคชัน การสื่อสารระหว่างผู้ป่วยและทีมรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการเดินทาง ลดระยะเวลารอคอย เปลี่ยนการดูแลรักษาให้มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง 5. เพิ่มความปลอดภัยให้แก่ข้อมูล Digital Health เป็นแนวทางในการวางรากฐานด้านความปลอดภัย ด้วยมาตรการด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยข้อมูลที่ชัดเจน ทั้งมาตรฐานการจัดการข้อมูลสุขภาพ สร้างระเบียบควบคุมการเข้าถึง การตรวจสอบการใช้งาน และการตอบสนองต่อเหตุละเมิดข้อมูล คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Digital Health 1. Digital Health คืออะไร? Digital Health คือ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ระบบข้อมูลสุขภาพ แอปพลิเคชัน อุปกรณ์สวมใส่ ปัญญาประดิษฐ์ และ Telehealth เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกัน การวินิจฉัย การรักษา และการดูแลผู้ป่วยอย่างเป็นระบบและเชื่อมโยงกัน 2. Digital Health แตกต่างจาก HealthTech อย่างไร? Digital Health ครอบคลุมระบบและโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพของประเทศหรือองค์กร เช่น มาตรฐานข้อมูล การแลกเปลี่ยนข้อมูล และระบบบริการสุขภาพดิจิทัล ส่วน HealthTech คือเทคโนโลยีหรือผลิตภัณฑ์เฉพาะด้าน เช่น อุปกรณ์ เครื่องมือ หรือแอปพลิเคชัน ที่ใช้งานได้ทั่วไป 3. ตัวอย่างของ Digital Health ในประเทศไทยมีอะไรบ้าง? ตัวอย่างในไทยได้แก่ ระบบข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EHR) แพลตฟอร์ม Telehealth แห่งชาติ ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพ (HIE) โครงสร้างพื้นฐาน Digital Health Platform ของกระทรวงสาธารณสุข แอปสุขภาพดิจิทัลสำหรับประชาชน และโครงการติดตามผู้ป่วยเรื้อรังผ่านอุปกรณ์สวมใส่ 4. ทำไม Digital Health ถึงสำคัญต่อโรงพยาบาล Digital Health ช่วยให้โรงพยาบาลทำงานได้รวดเร็วและเป็นระบบ ลดภาระเอกสาร เชื่อมโยงข้อมูลข้ามแผนก เพิ่มความแม่นยำในการรักษา สร้างประสบการณ์ผู้ป่วยที่ดีขึ้น และยกระดับความปลอดภัยของข้อมูล ทำให้การบริหารจัดการทั้งองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น MEDHIS ระบบที่ช่วยส่งเสริม Paperless ในโรงพยาบาล MEDHIS ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (Hospital Information System – HIS) ที่ออกแบบและพัฒนาโดย MEDcury รองรับการทำงานของโรงพยาบาลทุกขนาด รวมถึงสถานพยาบาลประเภทอื่น ๆ ในธุรกิจเฮลท์แคร์ มาพร้อมคุณสมบัติที่ตอบโจทย์การพัฒนา Smart Hospital ไม่ว่าจะเป็น Full EMR system เชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยทุกแผนกด้วยระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร เพื่อให้แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ลดการทำงานซ้ำซ้อนและข้อผิดพลาดในการรักษา Web-based & Cloud Native รองรับการทำงานบนระบบ Web-based และ Cloud Native ตอบโจทย์การใช้งานของ Smart Hospital ที่ต้องการความยืดหยุ่น ปลอดภัย และรองรับการเติบโตในอนาคต Web Responsive ออกแบบระบบให้ใช้งานได้จากทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ตโฟน เข้าถึงข้อมูลเวชระเบียนได้สะดวก ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้เร็วขึ้น Paperless Transformation เปลี่ยนผ่านสู่โรงพยาบาลไร้กระดาษ (Paperless Hospital) ด้วยระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร ลดการใช้กระดาษ ลดความเสี่ยงจากการจัดเก็บเอกสารแบบเดิม และเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา แบ่งปัน และส่งต่อข้อมูลภายในโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย สถานพยาบาลหรือธุรกิจเฮลท์แคร์ที่กำลังมองหาระบบ HIS ที่พร้อมรองรับการเติบโตในยุคดิจิทัล และเปิดรับศักยภาพใหม่ ๆ เพื่อยกระดับการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก MEDcury ยินดีให้คำปรึกษา ทั้งด้านเทคนิคและการปรับใช้ระบบให้เข้ากับบริบทของสถานพยาบาล ติดต่อเราเพื่อพูดคุยกับทีมของเราได้โดยตรงที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล: sales@medcury.health ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook: facebook.com/medcury.health/ LinkedIn: linkedin.com/company/medcury YouTube: https://www.youtube.com/@MEDcury ที่มาข้อมูล: 8 Breakthrough Technology Trends That Will Transform Healthcare In 2026
- AI ทางการแพทย์คืออะไร? Medical AI สำคัญอย่างไรต่อการรักษาในปัจจุบัน
AI ทางการแพทย์หรือปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์คืออะไร Medical AI จะประยุกต์ใช้กับระบบ HIS ในด้านใดบ้าง และจะยกระดับธุรกิจเฮลท์แคร์ได้อย่างไรบ้างในอนาคต Table of Content AI ทางการแพทย์คืออะไร? ประโยชน์ของปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์มีอะไรบ้าง? ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI ทางการแพทย์มีอะไรบ้าง? การใช้ AI ทางการแพทย์ยกระดับระบบ HIS คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ AI ทางการแพทย์ Key Takeaways AI ทางการแพทย์ หรือปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ (Medical AI) คือ การนำเทคโนโลยี AI มาเป็นตัวช่วยเสริมประสิทธิภาพในการวินิจฉัยโรค เช่น การวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ การถอดเสียงสนทนาระหว่างแพทย์และผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพให้บุคลากรทางการแพทย์ ลดภาระหน้าที่ด้านงานเอกสาร Medical AI ช่วยยกระดับระบบ HIS ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้ถอดเสียงสนทนาแพทย์และผู้ป่วยและสร้างเวชระเบียนอัตโนมัติ การช่วยจับคู่รหัสโรค ICD-10 จากบันทึกทางคลินิก ไปจนถึงระบบแนะนำแนวทางวินิจฉัยและรักษา ส่งเสริมการตัดสินใจทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระบบ HIS ที่ทำงานเชื่อมต่อแบบครบวงจร ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรม AI ทางการแพทย์ หรือ ปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ (Medical AI) กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของการยกระดับคุณภาพบริการทางสุขภาพในธุรกิจเฮลท์แคร์ ทั้งในโรงพยาบาล คลินิก หรือสถานพยาบาลประเภทอื่น ๆ ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นบริหารจัดการภายในโรงพยายาลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การตรวจวินิจฉัยโรค และเพิ่มประสบการณ์เข้ารับบริการที่ดีแก่ผู้ป่วย สำหรับ AI ทางการแพทย์ที่น่าสนใจจะมีอะไรบ้าง MEDcury รวมความรู้ดี ๆ มาฝากทุกคนกัน AI ทางการแพทย์คืออะไร? AI ทางการแพทย์ หรือปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ (Medical AI) คือ การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) มาเป็นตัวช่วยอัจฉริยะให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยโรค การรักษา การบริหารจัดการในโรงพยาบาล หรือแม้แต่การดูแลสุขภาพผู้ป่วยจากระยะไกล ซึ่งช่วยให้การทำงานสะดวกรวดเร็ว แม่นยำมากขึ้น ส่งผลดีต่อการรักษาผู้ป่วยโดยตรง ประโยชน์ของปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์มีอะไรบ้าง? 1. ลดภาระงานแพทย์และพยาบาล AI ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์บันทึกข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น เช่น การบันทึกเวชระเบียน การสืบค้นข้อมูลผู้ป่วย หรือการสรุปรายงานทางการแพทย์ ซึ่งช่วยลดภาระงานเอกสารของแพทย์และพยาบาล ทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีเวลามากขึ้นในการดูแลผู้ป่วยโดยตรง ลดความเหนื่อยล้า และเพิ่มคุณภาพในการบริการ 2. เพิ่มความรวดเร็วในการวินิจฉัย ลดข้อผิดพลาด ด้วยความสามารถในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล AI จึงสามารถวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ เช่น เอกซเรย์หรือ CT scan ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คัดกรองผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง และช่วยแพทย์ตัดสินใจวินิจฉัยโรคได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ซับซ้อนหรือมีข้อมูลจำนวนมาก ส่งผลให้ลดความผิดพลาดที่อาจเกิดจากความเหนื่อยล้าหรือข้อจำกัดของมนุษย์ 3. ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่รวดเร็ว แม่นยำขึ้น AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและให้คำแนะนำเบื้องต้นได้ทันที ทำให้กระบวนการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาเร็วขึ้น ผู้ป่วยจึงเริ่มต้นการรักษาได้โดยไม่ต้องรอขั้นตอนที่ซับซ้อนหรือใช้เวลานาน ส่งผลให้ลดระยะเวลารอคอย และเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวเร็วขึ้น ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI ทางการแพทย์มีอะไรบ้าง? 1. AI ถอดเสียงสนทนาระหว่างแพทย์และผู้ป่วย เพราะการซักถามอาการระหว่างแพทย์และผู้ป่วย เป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยโรค โดยหลังจากสอบถามอาการเบื้องต้นแล้ว แพทย์จะต้องบันทึกอาการของผู้ป่วยลงในระบบ HIS (Hospital Information System) ดังนั้นหากบันทึกข้อมูลคลาดเคลื่อนก็จะส่งผลให้การดูแลผู้ป่วยผิดพลาดได้ ดังนั้น AI ทางการแพทย์จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยในการฟังและถอดเสียงสนทนาระหว่างแพทย์และผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ รวมถึงสรุปเวชระเบียนเบื้องต้นแบบอัตโนมัติ โดยแพทย์ไม่ต้องกรอกข้อมูลทีละช่อง ช่วยลดเวลาการบันทึกข้อมูล ทำให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์มีสมาธิกับกระบวนการรักษาและสื่อสารกับผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกังวลกับขั้นตอนการบันทึกข้อมูล เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Electronic Medical Record (EMR) เป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ทำงานคู่กับ Medical AI ด้านการถอดเสียงบทสนทนา เป็นเครื่องมือบันทึกข้อมูลผู้ป่วย โดยไม่ต้องใช้กระดาษ สำหรับเทคโนโลยีนี้จะน่าสนใจตรงไหน ตามไปอ่านต่อได้ที่ EMR กับ EHR ต่างกันอย่างไร? 2. AI วิเคราะห์ภาพเอกซเรย์และผลตรวจ ปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัย และนำมาประยุกต์ใช้กับการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ภาพเอกซเรย์ ซีทีสแกน (CT Scan) หรือ MRI โดยมี AI ทางการแพทย์เป็นผู้ช่วยแพทย์ระบุความผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้อ ปอดติดเชื้อ หรือภาวะเลือดออกในสมอง 3. AI ช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคแม่นยำยิ่งขึ้น ปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ไม่ได้เข้ามาแทนที่การวินิจฉัยของแพทย์ แต่ช่วยเสนอข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอ้างอิงจากประวัติผู้ป่วย ข้อมูลเวชระเบียน และผลตรวจต่าง ๆ ลดข้อผิดพลาดในการวินิจฉัย โดยเฉพาะกรณีการวินิจฉัยโรคที่ต้องพิจารณาข้อมูลจำนวนมากภายใต้เวลาจำกัด ซึ่งช่วยให้การวินิจฉัยเป็นไปอย่างแม่นยำมากขึ้น 4. การใช้ AI ในการบริหารจัดการโดยรวม นอกจากงานด้านการวินิจฉัยโรคและลดภาระการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์แล้ว AI ทางการแพทย์ยังนำมาใช้บริหารจัดการสถานพยาบาลโดยรวมได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นระบบจุดคิวผู้ป่วย การวางแผนทรัพยากรบุคคล ระบบจองห้องผ่าตัดหรือห้องปฏิบัติการ ไปจนถึงจัดลำดับความสำคัญของเคสต่าง ๆ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในภาพรวม 5. พัฒนาคุณภาพบริการและประสบการณ์ของผู้ป่วย สำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรทางการแพทย์แล้ว AI ยังช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ป่วยที่มารับบริการ โดย AI ช่วยปรับแต่งการสื่อสารให้สะดวกสบายมากขึ้น เช่น ระบบแชตบอททางการแพทย์ที่ให้คำแนะนำเบื้องต้น ตอบคำถามเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนตรวจหรือข้อมูลสุขภาพ ช่วยลดความกังวลของผู้ป่วย และให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่เพิ่มภาระให้กับเจ้าหน้าที่ การใช้ AI ทางการแพทย์ยกระดับระบบ HIS Medical AI มีบทบาทในพัฒนาและยกระดับระบบสารสนเทศโรงพยาบาล หรือระบบ HIS (Hospital Information System) ให้ทำงานได้อย่างราบรื่นและตอบโจทย์การดูแลผู้ป่วยยุคใหม่มากขึ้น โดยปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ช่วยเสริมศักยภาพของระบบ HIS ในหลายด้าน ตัวอย่างเช่น 1. Medical AI ช่วยระบุและบันทึกรหัส ICD-10 โดยทั่วไปแพทย์จะเป็นผู้ระบุรหัสโรค หรือ ICD-10 ลงในระบบ HIS ซึ่งจะส่งผลต่อการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล โดยทั่วไปจะต้องบันทึกรหัสโรคร่วมกับรายละเอียดการวินิจฉัย ซึ่งรายละเอียดอาจคลาดเคลื่อนได้ หากไม่ได้บันทึกแบบเรียลไทม์ Medical AI จึงเข้ามามีบทบาทในการแปลงคำวินิจฉัยหรือคำอธิบายของแพทย์ เป็นคำอธิบายมาตรฐาน พร้อมแนะนำรหัสโรค ICD-10 ที่เหมาะสม โดยอาจทำงานแบบอัตโนมัติ หรือเป็นตัวเลือกให้กับแพทย์ ช่วยลดเวลาการบันทึกข้อมูล และลดความผิดพลาดในการเบิกจ่ายจากการกรอกรหัส ICD-10 ผิด 2. AI ถอดเสียงบทสนทนาและบันทึกเวชระเบียนอัตโนมัติ Medical AI เป็นตัวช่วยสำคัญในการลดเวลาด้านงานเอกสาร โดยเฉพาะการทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยแพทย์ด้านการฟังและบันทึกลงข้อมูลลงในระบบ โดยการเชื่อมต่อปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์กับระบบ HIS เช่น Ambient Listening การฟังบทสนทนาระหว่างแพทย์และคนไข้แบบเรียลไทม์ โดยใช้เทคโนโลยี Automatic Speech Recognition (ASR) และ Natural Language Processing (NLP) เพื่อแปลงเสียงพูดระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยเป็นเวชระเบียนเบื้องต้นโดยอัตโนมัติ Predictive Risks AI การวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วย เช่น ประวัติการรักษา ผลตรวจ และพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงโรคล่วงหน้า เช่น ความเสี่ยงหัวใจล้มเหลว ภาวะติดเชื้อ หรือการกลับเข้ารักษาซ้ำ AI Suggestions ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Clinical Decision Support System) โดย แนะนำการวินิจฉัยที่เป็นไปได้ หรือแนวทางการรักษาที่เหมาะสมตามแนวทางเวชปฏิบัติ รวมถึงข้อมูลย้อนหลังของผู้ป่วย คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ AI ทางการแพทย์ 1. AI ทางการแพทย์คืออะไร? AI ทางการแพทย์ หรือปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ (Medical AI) คือ การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ มาเป็นผู้ช่วยแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ในกระบวนการวินิจฉัย รักษา บันทึกข้อมูล และบริหารจัดการระบบสุขภาพ เช่น การถอดเสียงแพทย์และสร้างเวชระเบียนอัตโนมัติ การแนะนำการดูแลผู้ป่วย 2. AI ทางการแพทย์ช่วยแพทย์ได้อย่างไร? AI ทางการแพทย์ช่วยแพทย์ได้หลายด้าน เช่น การสรุปเวชระเบียนจากเสียงสนทนาอัตโนมัติ การวิเคราะห์ภาพรังสีเพื่อคัดกรองเคสที่มีความเสี่ยง การคาดการณ์แนวโน้มโรคล่วงหน้า และการจัดลำดับความสำคัญของผู้ป่วยในระบบโรงพยาบาล ซึ่งช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อน เพิ่มความรวดเร็วในการวินิจฉัย และช่วยให้แพทย์โฟกัสกับการดูแลผู้ป่วยได้มากขึ้น 3. AI ทางการแพทย์ปลอดภัยหรือไม่? หากออกแบบและใช้งานภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับอย่างเคร่งครัด AI ทางการแพทย์ถือเป็นตัวช่วยแพทย์ที่ปลอดภัย โดยจะต้องตรวจสอบประสิทธิภาพ วัดความแม่นยำในบริบทจริง และมีระบบตรวจสอบความผิดพลาด รวมถึงการทำงานภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์เสมอ และยังต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วย เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) 4. ปัญญาประดิษฐ์จะมาแทนที่แพทย์หรือไม่? AI ไม่สามารถมาแทนแพทย์ได้ เพราะไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแทนที่แพทย์ แต่ Medical AI จะทำหน้าที่เป็นตัวช่วยเสริมศักยภาพของแพทย์ ให้ตัดสินใจได้แม่นยำขึ้นและรวดเร็วขึ้น โดย AI จะทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก รวบรวมข้อมูลเบื้องต้น หรือเสนอแนวทางวินิจฉัยเบื้องต้น แต่การตัดสินใจสุดท้ายยังคงอยู่ในมือของแพทย์เสมอ 5. โรงพยาบาลในไทยเริ่มใช้ AI ทางการแพทย์แล้วหรือยัง? โรงพยาบาลหลายแห่งในประเทศไทยเริ่มนำ AI มาใช้งานจริงแล้ว เช่น AI จัดคิวตรวจสุขภาพ AI วิเคราะห์ฟิล์มเอกซเรย์ และ ใช้ AI ถอดเสียงการสนทนาแพทย์และผู้ป่วยเพื่อสรุปเวชระเบียน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า AI ทางการแพทย์ไม่ใช่อนาคตที่ห่างไกล แต่เป็นเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้นจริงในระบบสุขภาพไทย MEDHIS ระบบสารสนเทศโรงพยาบาลที่ยกระดับด้วย Medical AI MEDHIS ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (Hospital Information System – HIS) ที่ออกแบบ และพัฒนาโดย MEDcury เพื่อรองรับการทำงานทั้งในระดับผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) ครอบคลุมฟังก์ชันการทำงานที่จำเป็นในทุกแผนกของสถานพยาบาล พร้อมตอบโจทย์ยุค Healthcare 5.0 ด้วยการวางโครงสร้างระบบที่พร้อมผสานการทำงานร่วมกับ Medical AI ด้วยประสบการณ์ติดตั้งและดูแลระบบ HIS ให้กับสถานพยาบาลกว่า 30 แห่งทั่วประเทศ และทีมพัฒนาที่มีความเชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขกว่า 10 ปี MEDcury จึงไม่เพียงพัฒนาระบบที่มีความเสถียรและปลอดภัย แต่ยังเตรียมพร้อมสำหรับ การผนวกเทคโนโลยี AI เพื่อเสริมศักยภาพในด้านต่าง ๆ เช่น AI ถอดเสียงและสร้างเวชระเบียนอัตโนมัติ (Ambient Listening) AI วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงผู้ป่วยล่วงหน้า (Predictive Risks) AI ช่วยแนะนำแนวทางวินิจฉัยและรักษา (AI Suggestions & Decision Support) AI จับคู่รหัสโรค ICD-10/ICD-9 อย่างแม่นยำจากบันทึกทางคลินิก สถานพยาบาลหรือธุรกิจเฮลท์แคร์ที่กำลังมองหาระบบ HIS ที่พร้อมรองรับการเติบโตในยุคดิจิทัล และเปิดรับศักยภาพใหม่ ๆ จากเทคโนโลยี AI เพื่อยกระดับการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก MEDcury ยินดีให้คำปรึกษา ทั้งด้านเทคนิคและการปรับใช้ระบบให้เข้ากับบริบทของสถานพยาบาล ติดต่อเราเพื่อพูดคุยกับทีมของเราได้โดยตรงที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury
- Smart Hospital คืออะไร? สำคัญอย่างไรต่ออนาคตทางการแพทย์
ทำความรู้จัก Smart Hospital การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้และพัฒนาการทำงานในโรงพยาบาลให้สะดวก รวดเร็ว ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้รวดเร็วแม่นยำ และยกระดับประสบการณ์ที่ดีของผู้ป่วยขึ้นอีกขั้น Table of Contents Smart Hospital คืออะไร? องค์ประกอบหลักของ Smart Hospital มีอะไรบ้าง? ทำไมระบบ HIS ถึงเป็นหัวใจหลักของ Smart Hospital ประโยชน์ของ Smart Hospital ต่อผู้ป่วยและธุรกิจเฮลท์แคร์มีอะไรบ้าง? ความท้าทายในการพัฒนา Smart Hospital มีอะไรบ้าง? คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Smart Hospital Key Takeaways Smart Hospital คือ การผสานเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ระบบ HIS, AI, IoT, Telemedicine ไปจนถึงระบบ Self Check-in เพื่อให้กระบวนการดูแลผู้ป่วยปลอดภัย แม่นยำ รับการรักษาได้เร็ว และยังลดภาระงานเอกสารของแพทย์อีกด้วย ระบบ HIS ถือเป็นหัวใจสำคัญของ Smart Hospital เพราะเป็นศูนย์กลางที่รวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยจากทุกแผนกเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ พร้อมเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT หรือ Wearable Device รวมถึงพร้อมเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ เพื่อพัฒนาโรงพยาบาลอัจฉริยะอย่างสมบูรณ์ Smart Hospital ถือเป็นก้าวสำคัญของการยกระดับวงการสาธารณสุข ซึ่งช่วยให้การทำงานของบุคลากรทางแพทย์สะดวกสบาย วินิจฉัยและรักษาโรคได้รวดเร็วขึ้น ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยมีระบบ HIS เป็นหัวใจสำคัญที่เชื่อมโยงระบบและอุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน โดยองค์ประกอบของ Smart Hospital มีอะไรบ้างนั้น MEDcury ได้รวบรวมข้อมูลดี ๆ มาฝากกัน Smart Hospital คืออะไร? Smart Hospital คือ โรงพยาบาลที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาผสานในทุกขั้นตอนของการบริหารจัดการและดูแลผู้ป่วย ตั้งแต่ระบบข้อมูลสุขภาพ (Hospital Information System: HIS) ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (EHR/EMR) ไปจนถึงการใช้ AI, IoT, Cloud Computing และ FHIR HL7 เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างแพทย์ หน่วยงาน และอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ องค์ประกอบหลักของ Smart Hospital มีอะไรบ้าง? 1. ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (Hospital Information System) ระบบ Hospital Information System (HIS) หรือระบบสารสนเทศโรงพยาบาล เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของการสร้าง Smart Hospital เป็นระบบที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วย กระบวนการรักษา และการบริหารงานทั้งหมดไว้ในที่เดียว รวมถึงยังมีมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่าง FHIR HL7 จึงทำให้ข้อมูลจากแผนกต่าง ๆ เช่น ห้องตรวจ ห้องแล็บ เภสัชกรรม การนัดหมาย หรือคลินิกเฉพาะทาง เข้าถึงได้แบบเรียลไทม์ ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล ลดความผิดพลาดจากการส่งต่อเอกสาร ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้เร็วขึ้น 2. การใช้ AI และ Big Data ในการวิเคราะห์สุขภาพ การนำ AI และ Big Data มาใช้งาน จะช่วยให้โรงพยาบาลนำข้อมูลจำนวนมากมาวิเคราะห์แนวโน้มสุขภาพของผู้ป่วย ช่วยประเมินความเสี่ยง และเป็นหนึ่งในตัวช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้มีประสิทธิภาพขึ้น นอกจากนี้ AI ยังเป็นตัวช่วยแนะนำการรักษาเบื้องต้น ตรวจจับความผิดปกติจากภาพทางการแพทย์ และช่วยวางแผนทรัพยากรของโรงพยาบาลได้คุ้มค่า ตอบโจทย์การสร้าง Smart Hospital ในระยะยาว 3. Telemedicine & Virtual Care (การแพทย์ทางไกล) Telemedicine หรือการนำเทคโนโลยีการสื่อสาร เช่น วิดีโอคอล แชต หรือโทรศัพท์ มาเป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างแพทย์และผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ให้บริการดูแลสุขภาพได้ โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางมาที่โรงพยาบาล ช่วยลดความแออัดของแผนก OPD และเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้สะดวกยิ่งขึ้น 4. IoT และอุปกรณ์ทางการแพทย์อัจฉริยะ อุปกรณ์ IoT (Internet of things) ทางการแพทย์ คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ Smart Hospital ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะช่วยเก็บข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องและแม่นยำ ลดปัญหาการบันทึกข้อมูลด้วยมือที่อาจเกิดความผิดพลาด โดยอุปกรณ์ IoT ที่เห็นได้บ่อย เช่น เครื่องวัดสัญญาณชีพ (Vital Sign Monitors) อุปกรณ์วัดค่าสัญญาณชีพต่าง ๆ เช่น เช่น อุณหภูมิ ความดันโลหิต ชีพจร อัตราการหายใจ หรือระดับออกซิเจนในเลือด และส่งข้อมูลเข้าระบบอัตโนมัติทันที เตียงผู้ป่วยอัจฉริยะ (Smart Bed) เตียงที่มีเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วย เช่น ระบบเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ระบบควบคุมและปรับระดับเตียงอัตโนมัติ ไปจนถึงการติดตามสัญญาณชีพต่าง ๆ อุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Devices) อุปกรณ์สวมใส่ เช่น Smart Watch หรือเครื่องติดตามการเต้นของหัวใจ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน อุปกรณ์จะช่วยเก็บข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยทั้งที่โรงพยาบาลและที่บ้าน ติดตามอาการได้อย่างต่อเนื่องยิ่งขึ้น เครื่องมือแพทย์ที่ส่งข้อมูลอัตโนมัติได้ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องตรวจวัดแบบเฉพาะทาง สามารถส่งข้อมูลการทำงานเข้าสู่ระบบ HIS โดยตรง ทำให้ทีมแพทย์รู้สถานะผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ ส่งเสริมการตัดสินใจในภาวะฉุกเฉินอย่างแม่นยำ 5. ระบบจัดการผู้ป่วยอัตโนมัติ ระบบ Self Check-in และ Smart Queue ช่วยจัดการผู้ป่วยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ป่วยเข้ารับบริการได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยผู้ป่วยจะลงทะเบียน แจ้งอาการ และรับคิวผ่านตู้ Kiosk หรือแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนได้เอง ลดเวลารอคอยและลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ เมื่อข้อมูลเข้าสู่ระบบ HIS แล้วะก็จะส่งไปยังแผนกต่างๆ ได้ทันที เช่น แผนก OPD ส่งข้อมูลให้แพทย์ หรือจัดลำดับคิวตามระดับความเร่งด่วน ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์ที่ดีของผู้ป่วยในการเข้ารับบริการขึ้นอีกระดับ 6. ระบบความปลอดภัยและการจัดการข้อมูลผู้ป่วย Smart Hospital ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลในระดับสูงสุด ระบบต้องมีโครงสร้างด้าน Cybersecurity ที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น การเข้ารหัส การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง และการจัดการสิทธิ์ตามบทบาทหรือตำแหน่งงาน เพื่อลดความเสี่ยงที่ข้อมูลจะรั่วไหล นอกจากนี้การปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เช่น FHIR HL7 รวมถึงนโยบาย Data Governance ทำให้ Smart Hospital บริหารข้อมูลอย่างเป็นระบบ น่าเชื่อถือ และสอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทำไมระบบ HIS ถึงเป็นหัวใจหลักของ Smart Hospital หน้าที่ของระบบ HIS รายละเอียด ประโยชน์ต่อโรงพยาบาล ศูนย์กลางข้อมูลผู้ป่วย ระบบ HIS รวมข้อมูลจากทุกแผนกไว้ในระบบเดียว ทั้งห้องตรวจ แล็บ เภสัชกรรม นัดหมาย และประวัติการรักษา แพทย์เข้าถึงข้อมูลครบถ้วน ลดความผิดพลาด เพิ่มคุณภาพการรักษา เป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับ AI และ Big Data ระบบ HIS จัดเก็บข้อมูลที่เป็นพื้นฐาน สำหรับนำไปใช้งานวิเคราะห์เชิงลึก และพัฒนา AI ภายในโรงพยาบาล โรงพยาบาลใช้ AI เป็นผู้ช่วย ประเมินความเสี่ยงผู้ป่วย วางแผนทรัพยากร ดูแลผู้ป่วยเชิงรุก เชื่อมต่อระบบต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น รองรับมาตรฐาน FHIR HL7 ทำให้ Telemedicine, IoT, Smart Queue, ERP และระบบอื่น ๆ เชื่อมต่อได้สะดวก ข้อมูลเชื่อมโยงระหว่างแผนกแบบ Real-time ลดงานแยกส่วน ลดเวลาเดินเอกสาร สร้าง Smart Hospital ที่ทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน สนับสนุนการตัดสินใจทางการแพทย์ ลดเวลาเดินเอกสาร ช่วยให้แพทย์เข้าถึงประวัติการรักษาของผู้ป่วยได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะในกรณีฉุกเฉินหรือผู้ป่วยวิกฤตที่ข้อมูลต้องอัปเดตตลอด การวินิจฉัยเร็วขึ้น แม่นยำขึ้น ลดเวลาการทำงานเอกสารของบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ระบบอัตโนมัติ ลดความซ้ำซ้อน และจัดการข้อมูลเป็นระบบเดียว ลดต้นทุนในระยะยาว ใช้ทรัพยากรคุ้มค่ามากขึ้น ยกระดับประสบการณ์ผู้ป่วย ประโยชน์ของ Smart Hospital ต่อผู้ป่วยและธุรกิจเฮลท์แคร์มีอะไรบ้าง? 1. เพิ่มประสิทธิภาพการดูแลรักษา Smart Hospital ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ เข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยได้ครบถ้วนและทันเวลา ไม่ว่าจะเป็นบันทึกการวินิจฉัย ผลแล็บ แผนการรักษา หรือประวัติการใช้ยา ช่วยให้วินิจฉัยได้เร็วขึ้น และการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ยังช่วยให้ติดตามอาการผู้ป่วยต่อเนื่องได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยวิกฤตหรือผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 2. ลดเวลาและความซับซ้อนในการเข้ารับบริการ ด้วยระบบอัตโนมัติอย่างการลงทะเบียนแบบ Self Check-in การใช้ Smart Queue หรือระบบนัดหมายออนไลน์ ผู้ป่วยจึงไม่ต้องเสียเวลารอคิวนานเหมือนในอดีต ข้อมูลทุกอย่างเชื่อมกับ HIS แบบอัตโนมัติ ทำให้กระบวนการเข้ารับบริการเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดภาระของเจ้าหน้าที่และลดความแออัดในโรงพยาบาล 3. ยกระดับประสบการณ์ผู้ป่วย (Patient Experience) Smart Hospital ช่วยยกระดับประสบการณ์ผู้ป่วยในการเข้ารับบริการ ทั้งสะดวก รวดเร็ว และเป็นส่วนตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตามผลตรวจผ่านแอปพลิเคชัน การสื่อสารกับแพทย์ผ่าน Telemedicine รวมถึงการรับข้อมูลสุขภาพที่ปลอดภัย เข้าใจง่าย และอัปเดตอยู่เสมอ ทำให้ผู้ป่วยมั่นใจในการเข้าใช้บริการในโรงพยาบาลมากขึ้น 4. ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโรงพยาบาล ระบบ Smart Hospital ช่วยให้โรงพยาบาลบริหารทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น จัดการเตียงผู้ป่วย การใช้ยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ เวชภัณฑ์ และกำลังคนได้อย่างเหมาะสม โดยใช้ข้อมูลที่คาดการณ์ได้ล่วงหน้า นอกจากนี้ระบบอัตโนมัติและข้อมูลที่แม่นยำช่วยลดความซ้ำซ้อน ลดงานเอกสาร และช่วยให้บุคลากรมุ่งเน้นไปที่งานดูแลผู้ป่วยมากขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพทางธุรกิจในระยะยาว ความท้าทายในการพัฒนา Smart Hospital มีอะไรบ้าง? 1. ความปลอดภัยของข้อมูลผู้ป่วย (Data Privacy & Cybersecurity) หนึ่งในความท้าทายสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ Smart Hospital คือการปกป้องข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วย ซึ่งเป็นข้อมูลที่อ่อนไหวมาก การเชื่อมต่อระบบและอุปกรณ์จำนวนมาก เช่น ระบบ HIS อุปกรณ์ IoT Telemedicine และระบบบันทึกเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ มักตามมาด้วยความเสี่ยงต่อการโจมตีทางไซเบอร์ แผนที่จำเป็น: โรงพยาบาลจำเป็นต้องมีระบบความปลอดภัยหลายชั้น เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การควบคุมสิทธิ์เข้าถึง และมาตรฐานด้าน Cybersecurity ที่เข้มงวด เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ป่วยที่เข้ารับบริการ 2. การลงทุนด้านเทคโนโลยีและบุคลากร การพัฒนา Smart Hospital ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น โครงสร้างพื้นฐานทาง IT ระบบ Cloud, Data Platform, ระบบ AI รวมถึงอุปกรณ์ IoT ซึ่งต้องการงบประมาณและการวางแผนพัฒนาระบบในระยะยาว อีกทั้งยังต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ด้านดิจิทัล เช่น นักวิเคราะห์ข้อมูล แพทย์ที่คุ้นเคยกับระบบเทคโนโลยี และทีมไอทีที่มีประสบการณ์ การลงทุนเหล่านี้จึงเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับโรงพยาบาลที่ต้องการยกระดับบริการสู่ Smart Hospital อย่างเต็มรูปแบบ 3. การปรับตัวของบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย นอกจากระบบ HIS และอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ แล้ว บุคลากรก็ถือเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยพัฒนา Smart Hospital โดยบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล จะต้องเรียนรู้วิธีใช้ระบบ HIS แบบใหม่ การอ่านข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT หรือการประยุกต์ใช้ AI กับการวินิจฉัย ขณะที่ผู้ป่วยเองก็ต้องปรับตัวกับการเข้ารับบริการที่เป็นอัตโนมัติมากขึ้น เช่น การลงทะเบียนแบบ Self Check-in หรือการใช้ Telemedicine การสร้างความยอมรับและความเข้าใจจึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญที่โรงพยาบาลต้องให้ความสำคัญ ระบบ MEDHIS โดย MEDcury ถือเป็นระบบที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบให้มีหน้าตาที่ใช้งานง่าย และรองรับการใช้งานในอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ตโฟน ช่วยยกระดับการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ขึ้นอีกขั้น คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Smart Hospital 1. Smart Hospital คืออะไร แตกต่างจากโรงพยาบาลทั่วไปอย่างไร? Smart Hospital คือ โรงพยาบาลที่นำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ระบบ HIS, AI, IoT, Telemedicine และ Data Platform มาเชื่อมต่อกระบวนการทำงานทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทำให้บุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย 2. Smart Hospital มีอะไรบ้าง? Smart Hospital ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญหลายด้าน ซึ่งจะทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลผู้ป่วยในทุกขั้นตอน เช่น ระบบ Hospital Information System (HIS) การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI และ Big Data Telemedicine และบริการทางการแพทย์ออนไลน์ อุปกรณ์ IoT ทางการแพทย์ ระบบอัตโนมัติ เช่น Self Check-in และ Smart Queue ระบบความปลอดภัยของข้อมูลและ Cybersecurity 3. Smart Hospital ช่วยผู้ป่วยและหมออย่างไร? สำหรับผู้ป่วย Smart Hospital ช่วยให้เข้ารับบริการได้เร็วขึ้น สะดวกขึ้น และได้รับข้อมูลเรียลไทม์ ขณะที่แพทย์เข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยครบทุกมิติ ลดความผิดพลาด และตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น ระบบอัตโนมัติและข้อมูลที่เชื่อมโยงกันยังช่วยลดภาระงานเอกสาร ทำให้แพทย์มีเวลาให้ผู้ป่วยมากขึ้น 4. ประเทศไทยมี Smart Hospital แล้วหรือยัง? ประเทศไทยมีหลายโรงพยาบาลที่เริ่มนำเทคโนโลยี Smart Hospital มาใช้แล้ว เช่น ระบบ HIS รุ่นใหม่ที่รองรับมาตรฐาน FHIR HL7 การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ระบบคิวอัจฉริยะ และอุปกรณ์ IoT ในหอผู้ป่วยไอซียู MEDHIS ระบบที่ช่วยยกระดับสถานพยาบาลสู่ Smart Hospital MEDHIS ระบบสารสนเทศโรงพยาบาลที่ออกแบบและพัฒนาโดย MEDcury รองรับการทำงานของโรงพยาบาลทุกขนาด รวมถึงสถานพยาบาลประเภทอื่น ๆ ในธุรกิจเฮลท์แคร์ มาพร้อมคุณสมบัติที่ตอบโจทย์การพัฒนา Smart Hospital ไม่ว่าจะเป็น Full EMR system เชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยทุกแผนกด้วยระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร เพื่อให้แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ลดการทำงานซ้ำซ้อนและข้อผิดพลาดในการรักษา Web-based & Cloud Native รองรับการทำงานบนระบบ Web-based และ Cloud Native ตอบโจทย์การใช้งานของ Smart Hospital ที่ต้องการความยืดหยุ่น ปลอดภัย และรองรับการเติบโตในอนาคต Web Responsive ออกแบบระบบให้ใช้งานได้จากทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ตโฟน เข้าถึงข้อมูลเวชระเบียนได้สะดวก ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้เร็วขึ้น Paperless Transformation เปลี่ยนผ่านสู่โรงพยาบาลไร้กระดาษ (Paperless Hospital) ด้วยระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร ลดการใช้กระดาษ ลดความเสี่ยงจากการจัดเก็บเอกสารแบบเดิม และเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา แบ่งปัน และส่งต่อข้อมูลภายในโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย สถานพยาบาลหรือธุรกิจเฮลท์แคร์ที่กำลังมองหาระบบ HIS ที่พร้อมรองรับการเติบโตในยุคดิจิทัล และเปิดรับศักยภาพใหม่ ๆ เพื่อยกระดับการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก MEDcury พร้อมให้คำปรึกษา ทั้งด้านเทคนิคและการปรับใช้ระบบให้เข้ากับบริบทของสถานพยาบาล ติดต่อเราเพื่อพูดคุยกับทีมของเราได้โดยตรงที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล: sales@medcury.health ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn: linkedin.com/company/medcury YouTube: https://www.youtube.com/@MEDcury
- ระบบ Paperless โรงพยาบาลคืออะไร? ก้าวสำคัญสู่ Smart Hospital และอนาคตการแพทย์
ทำความรู้จักกับระบบ Paperless โรงพยาบาลคืออะไร มีองค์ประกอบอะไร รวมถึงระบบ HIS สำคัญอย่างไรต่อ Paperless ในโรงพยาบาล ซึ่งจะช่วยยกระดับ Smart Hospital ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Table of Content ระบบ Paperless โรงพยาบาลคืออะไร? ตัวอย่างองค์ประกอบของระบบ Paperless ในโรงพยาบาลมีอะไรบ้าง? ประโยชน์ของเวชระเบียน Paperless มีอะไรบ้าง? ระบบ HIS สำคัญอย่างไรกับระบบ Paperless โรงพยาบาล คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับระบบ Paperless โรงพยาบาล Key Takeaways ระบบ Paperless โรงพยาบาล คือ การใช้ระบบดิจิทัลจัดการงานเอกสารภายในโรงพยาบาล ลดการใช้กระดาษในการทำงาน โดยการสร้าง Paperless ในโรงพยาบาลจะประกอบด้วยเทคโนโลยีหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นระบบ HIS ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล ระบบ EMR เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ ระบบ EHR ระบบจัดเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูล นอกจากระบบจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ แล้ว ระบบ Paperless โรงพยาบาล ยังรวมไปถึงระบบลงทะเบียนและนัดหมายออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น ไปจนถึงระบบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ ที่ช่วยลดข้อผิดพลาดจากการสั่ง-จ่ายยา ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น ระบบ Paperless โรงพยาบาล หรือโรงพยาบาลไร้กระดาษ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการยกระดับ Smart Hospital อย่างเต็มรูปแบบ โดยเปลี่ยนจากการจัดเก็บข้อมูลบนแฟ้มเอกสารสู่ระบบดิจิทัลที่รวดเร็ว ปลอดภัย และเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ การสร้างโรงพยาบาลไร้กระดาษควรจะมีองค์ประกอบอะไรบ้าง และระบบสารสนเทศโรงพยาบาลอย่างระบบ HIS จะสำคัญอย่างไรต่อการสร้าง Paperless ในโรงพยาบาล MEDcury มีคำตอบมาฝากกัน ระบบ Paperless โรงพยาบาลคืออะไร? ระบบ Paperless โรงพยาบาล คือ การจัดการงานเอกสารภายในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลในธุรกิจเฮลท์แคร์ (Healthcare) ในรูปแบบดิจิทัลแทนการใช้เอกสารที่เป็นกระดาษ โดยไม่ได้จำเป็นต้องเลิกใช้กระดาษทั้งหมด แต่เป็นการปรับเปลี่ยนการทำงานให้เข้ากับระบบดิจิทัล โดย Paperless ในโรงพยาบาลมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการทำงานภายในโรงพยาบาล ลดปริมาณเอกสาร ลดพื้นที่จัดเก็บเอกสาร ไปจนถึงลดเวลาจัดทำเอกสารต่าง ๆ ผู้ป่วยจึงเข้าถึงการรักษาได้เร็วขึ้น ตัวอย่างระบบที่สนับสนุนระบบ Paperless โรงพยาบาล เช่น HIS (Hospital Information System) ระบบจัดการโรงพยาบาลและจัดเก็บข้อมูลแบบครบวงจรบนระบบดิจิทัล HIE (Health Information Exchange) ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างโรงพยาบาล EMR (Electronic Medical Record) เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์หรือเวชระเบียน Paperless EHR (Electronic Health Records) ระบบจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยแบบดิจิทัล CPOE (Computerized Provider Order Entry) ระบบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ ระบบลงทะเบียนและนัดหมายออนไลน์ แลผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของโรงพยาบาล e-Signature หรือ e-Consent ระบบเอกสารและลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ ERP (Enterprise Resource Planning) ระบบบริหารงานหลังบ้าน เช่น บัญชี การเงิน งานจัดซื้อ เวชภัณฑ์ ช่วยลดการใช้กระดาษในงานหลังบ้าน ตัวอย่างองค์ประกอบของระบบ Paperless ในโรงพยาบาลมีอะไรบ้าง? 1. ระบบ HIS รากฐานสำคัญของ Paperless ในโรงพยาบาล ระบบ HIS (Hospital Information System) เป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการ และเป็นรากฐานของการทำงานแบบ Paperless ในโรงพยาบาล เพราะเป็นระบบที่รวบรวมข้อมูลการดำเนินงานทั้งหมดของโรงพยาบาลไว้ที่ศูนย์กลาง ทั้งข้อมูลผู้ป่วย แพทย์ พยาบาล การเงิน คลังยา และการบริหารโดยรวม ระบบ HIS จึงช่วยให้ทุกแผนกเข้าถึงและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้แบบเรียลไทม์ ลดการใช้กระดาษและขั้นตอนเอกสารที่ซ้ำซ้อน ตัวอย่างเช่น ระบบ MEDHIS ที่พัฒนาโดย MEDcury ที่มีโมดูลมาตรฐานครบถ้วน ตอบโจทย์โรงพยาบาลในระบบสาธารณสุขไทย 2. ระบบ EMR เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ บันทึกข้อมูลผู้ป่วย ระบบ EMR (Electronic Medical Record) คือ เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นส่วนหนึ่งของระบบ HIS ที่ทำให้โรงพยาบาลลดการใช้กระดาษได้จริง เพราะบันทึกข้อมูลการรักษาของผู้ป่วยทั้งหมดไว้ในระบบดิจิทัล ลดความผิดพลาดจากลายมือที่อ่านยากหรือเอกสารสูญหาย โดยตัวอย่างข้อมูลที่บันทึกไว้ในระบบ EMR ได้แก่ ประวัติผู้ป่วย ประวัติการรักษา ข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วย เช่น ชื่อ ที่อยู่ อายุ โรคประจำตัว รวมถึงประวัติการรักษาในอดีต บันทึกข้อมูลการวินิจฉัย บันทึกผลการตรวจ การวินิจฉัย และรหัสโรคตามมาตรฐาน (ICD-10) การสั่ง-จ่ายยา ข้อมูลคำสั่งยา ปริมาณ วิธีใช้ และประวัติการจ่ายยาให้ผู้ป่วย การนัดหมาย ข้อมูลวัน เวลา และแผนกที่ผู้ป่วยนัดหมายเข้ารับบริการ ผลตรวจทางห้องปฎิบัติการ ผลแล็บ บันทึกผลเลือด ปัสสาวะ หรือผลทดสอบทางห้องแล็บอื่น ๆ ผลตรวจภาพทางรังสี เช่น ภาพเอกซเรย์ ซีทีสแกน (CT Scan) และ MRI ที่จัดเก็บในรูปแบบดิจิทัล ติดตามผลการรักษาของผู้ป่วย ข้อมูลการนัดติดตามอาการ ผลการรักษา และการประเมินผลหลังการรักษา ประวัติการจ่ายเงิน รายการค่าใช้จ่าย ค่าบริการ และการชำระเงินของผู้ป่วย ข้อมูลประกันภัย ข้อมูลสิทธิ์การรักษา ประกันสุขภาพ หรือการเบิกจ่ายจากกองทุนต่าง ๆ เรื่องน่ารู้: การประเมินมาตรฐานของระบบ EMR จะใช้มาตรฐาน HIMSS EMRAM (Electronic Medical Record Adoption Model) เพื่อวัดระดับความพร้อมและการใช้งานเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ โดย โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลไทยที่ได้รับการรับรอง HIMSS EMRAM Stage 7 จาก HIMSS Asia Pacific 3. ระบบ EHR ระบบจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยแบบดิจิทัล ระบบ EHR (Electronic Health Record) คือ ระบบบันทึกข้อมูลสุขภาพผู้ป่วยที่ขยายจากระบบ EMR โดยระบบที่รวบรวมข้อมูลและแบ่งปันกันระหว่างสถานพยาบาลต่าง ๆ ได้ ทั้งโรงพยาบาล คลินิก และศูนย์สุขภาพ เพื่อให้แพทย์เข้าถึงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และรักษาได้ต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยและใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ระบบ EHR มักใช้มาตรฐานกลางอย่าง HL7 FHIR เป็นมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยบริการ ช่วยให้แพทย์เห็นภาพรวมสุขภาพของผู้ป่วยในระยะยาว และลดการตรวจหรือสั่งยาแบบซ้ำซ้อน เรื่องน่ารู้: HL7 FHIR คือ มาตรฐานสากลสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพ ระหว่างระบบต่าง ๆ เช่น HIS EMR EHR LIS (Lab) RIS (Radiology) รวมถึงแอปสุขภาพของผู้ป่วย มาตรฐานนี้พัฒนาขึ้นโดยองค์กร Health Level Seven International เพื่อให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลปลอดภัยแม่นยำยิ่งขึ้น 4. ระบบลงทะเบียนและนัดหมายออนไลน์ ระบบลงทะเบียนและนัดหมายออนไลน์ ช่วยยกระดับระบบ Paperless โรงพยาบาลได้โดยตรง เพราะผู้ป่วยสามารถนัดหมายล่วงหน้า ตรวจสอบคิว และลงทะเบียนเข้ารับบริการผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันโดยไม่ต้องกรอกแบบฟอร์มกระดาษ ข้อมูลจะถูกบันทึกเข้าสู่ HIS โดยอัตโนมัติ ช่วยลดภาระของเจ้าหน้าที่และลดระยะเวลารอคอย 5. ระบบ CPOE ระบบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ ระบบ CPOE (Computerized Provider Order Entry) คือ ระบบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของการพัฒนา Paperless ในโรงพยาบาล เพราะช่วยให้แพทย์สั่งยา หรือสั่งการรักษาอื่น ๆ ผ่านระบบคอมพิวเตอร์โดยตรง แทนการเขียนใบสั่งยาบนกระดาษแบบเดิม นอกจากจะช่วยลดข้อผิดพลาดจากลายมืออ่านยาก ลดความเสี่ยงในการใช้ยาผิดแล้ว ระบบ CPOE ยังช่วยตรวจสอบความถูกต้องของการสั่งยา ไม่ว่าจะเป็นปริมาณยา อาการแพ้ยา หรือปฏิกิริยาที่มีต่อยา ลดข้อผิดพลาดจากการสั่งยาได้ดียิ่งขึ้น ประโยชน์ของเวชระเบียน Paperless มีอะไรบ้าง? หัวข้อเปรียบเทียบ เวชระเบียนแบบดั้งเดิม เวชระเบียน Paperless รูปแบบการจัดเก็บข้อมูล บันทึกออกมาเป็นกระดาษ จัดเก็บในตู้เอกสาร บันทึกในซอฟต์แวร์ ระบบคลาวด์ (Cloud System) ผ่านระบบ HIS หรือ EMR การเข้าถึงข้อมูล ต้องค้นหาแฟ้มจริง ใช้เวลานาน และเข้าถึงได้ทีละคน เข้าถึงได้ทันทีจากทุกแผนกในเวลาเดียวกัน ผ่านระบบออนไลน์ ความถูกต้องของข้อมูล เสี่ยงที่จะเสียหาย และเสี่ยงต่อความผิดพลาดจากลายมืออ่านยาก ระบบช่วยตรวจสอบข้อมูลอัตโนมัติ ลดข้อผิดพลาดทางการแพทย์ ความปลอดภัยของข้อมูล เสี่ยงต่อการสูญหายจากไฟไหม้ น้ำท่วม หรือการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต มีระบบรักษาความปลอดภัย เช่น สิทธิ์เข้าถึง (Access Control), Audit Log, Encryption การแลกเปลี่ยนข้อมูล ทำได้ยาก ต้องถ่ายเอกสารหรือส่งแฟ้มทางกายภาพ แชร์ข้อมูลระหว่างโรงพยาบาลตามมาตรฐาน HL7 / FHIR ได้ทันที การทำงานร่วมกับระบบอื่น แต่ละแผนกทำงานแยกจากกัน ต้องใช้เวลานานเพื่อเข้าถึงข้อมูล เชื่อมต่อกับระบบอื่น เช่น ERP, CPOE, LIS, PACS ได้ครบวงจร ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม ใช้ปริมาณกระดาษสูง และเพิ่มขยะ สนับสนุนนโยบายด้านความยั่งยืน ลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ (Carbon Footprint) 1. ลดการใช้กระดาษและค่าใช้จ่าย การเปลี่ยนมาใช้เวชระเบียน Paperlessโดยเปลี่ยนเอกสารไปอยู่ในรูปแบบ EMR (Electronic Medical Record) ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์อย่างกระดาษ เครื่องพิมพ์เอกสาร เครื่องสแกน รวมถึงพื้นที่จัดเก็บและดูแลเอกสาร จากการศึกษาของ The Victorian Auditor General’s Office (VAGO) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินรัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลียพบว่า การใช้ EMR ช่วยลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเอกสารและแบบฟอร์มกระดาษในงานการเงิน เช่น โรงพยาบาล Princess Alexandra Hospital ลดค่าใช้จ่ายของแบบฟอร์มทางคลินิกถึง 81% พร้อมยกระดับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของข้อมูล 2. เพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วย เวชระเบียน Paperless ช่วยให้แพทย์ พยาบาล และบุคลาการทางการแพทย์ เข้าถึงบันทึกการรักษาของผู้ป่วย ประวัติการสั่งยา ผลแล็บ รวมถึงภาพเอกซเรย์ได้แบบเรียลไทม์ ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้รวดเร็วขึ้น ลดระยะเวลาส่งต่อแฟ้มเอกสาร รวมถึงลดการตรวจซ้ำซ้อน การใช้เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเพิ่มแนวโน้มให้การรักษามีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น 3. ลดข้อผิดพลาดทางการแพทย์จากข้อมูลสูญหาย เพราะ ลายมือหมอเป็นลายมือที่อ่านยากเป็นพิเศษ ด้วยระยะเวลาบันทึกข้อมูลที่มีจำกัด การรักษาจึงมีโอกาสผิดพลาด การใช้ระบบ Paperless ในโรงพยาบาล เช่น การประยุกต์ใช้ Medical AI ช่วยถอดเสียงบทสนทนาระหว่างแพทย์และคนไข้แบบเรียลไทม์ และบันทึกลงเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์อัตโนมัติ ถือเป็นแนวทางที่ช่วยลดความผิดพลาดจากลายมือที่อ่านยากได้ 4. ยกระดับประสบการณ์ผู้ป่วย (Patient Experience) เมื่อได้รับการรักษาเร็วขึ้น ก็ช่วยให้ประสบการณ์ในโรงพยาบาลของผู้ป่วยดีขึ้น การใช้ระบบ Paperless โรงพยาบาลจะยกระดับการใช้บริการตั้งแต่การนัดหมาย ลงทะเบียน ตรวจวินิจฉัน ไปจนถึงชำระเงิน โดยมีประวัติอยู่ในระบบ HIS ไม่จำเป็นต้องกรอกฟอร์มซ้ำซ้อน หรือส่งต่อแฟ้มเอกสารให้เสียเวลา 5. สนับสนุนการทำงานแบบ Smart Hospital ระบบ Paperless โรงพยาบาลถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนา Smart Hospital เพราะเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยไว้ที่ศูนย์กลาง แต่ละแผนกเข้าถึงได้อย่างสะดวกมากขึ้น รวมถึงช่วยให้สถานพยาบาลบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้ง Paperless ในโรงพยาบาลยังสนับสนุนการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการ สนับสนุนการทำงานอย่างยั่งยืน ระบบ HIS สำคัญอย่างไรกับระบบ Paperless โรงพยาบาล 1. HIS คือรากฐานของ Paperless Hospital ระบบ Hospital Information System (HIS) เป็นโครงสร้างหลักของการบริหารจัดการโรงพยาบาล ระบบ HIS จึงเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ Paperless ในโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นการลงทะเบียน การบันทึกข้อมูลผู้ป่วย ผลแล็บ และการชำระเงิน หากเลือกใช้ระบบ HIS ที่ได้มาตรฐานจะช่วยพัฒนาสถานพยาบาลอัจฉริยะได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 2. HIS ทำให้เวชระเบียน Paperless เป็นจริงได้ เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (EMR) และระบบข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EHR) จะทำงานได้จริงก็ต่อเมื่ออยู่บนระบบ HIS ที่เสถียรและเชื่อมโยงข้อมูลได้ครบทุกแผนก HIS ทำให้แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูลการรักษา ผลแล็บ ภาพเอกซเรย์ และใบสั่งยาแบบเรียลไทม์ ช่วยลดความผิดพลาดและลดเวลาการให้บริการผู้ป่วย 3. HIS เชื่อมโยงทุกแผนกในโรงพยาบาล ระบบ HIS ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลที่เชื่อมการทำงานระหว่างแผนกต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น ห้องตรวจผู้ป่วยนอก ห้องจ่ายยา ห้องปฏิบัติการ ฝ่ายการเงิน และฝ่ายบริหาร ข้อมูลทุกส่วนจึงเข้าถึงได้ง่าย ทำให้ทุกแผนกร่วมมือกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. HIS ช่วยให้ข้อมูลผู้ป่วยปลอดภัยขึ้น ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลระดับสูง ระบบ HIS ซึ่งมีบทบาทในการจัดเก็บและดูแลความปลอดภัย โดยใช้เทคโนโลยีเข้ารหัส (Encryption) การกำหนดสิทธิ์เข้าถึง (Access Control) และระบบติดตามการใช้งาน (Audit Trail) ซึ่งจะช่วยป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้งยังปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA ของไทย คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับระบบ Paperless โรงพยาบาล 1. ระบบ Paperless โรงพยาบาลคืออะไร? ระบบ Paperless โรงพยาบาล คือ การจัดการข้อมูลภายในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลประเภทต่าง ๆ ในรูปแบบดิจิทัล ลดการใช้เอกสารที่เป็นกระดาษ เช่น ระบบโรงพยาบาลหรือระบบ HIS (Hospital Information System) เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EMR (Electronic Medical Record) ระบบลงทะเบียนและนัดหมายออนไลน์ 2. ระบบ Paperless โรงพยาบาลมีประโยชน์อย่างไร? ระบบ Paperless ช่วยลดการใช้กระดาษ ลดการส่งต่อแฟ้มเอกสาร ลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บเอกสาร เพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วย และลดความผิดพลาดจากการสื่อสาร ช่วยป้องกันเอกสารสูญหาย 3. ระบบ Paperless โรงพยาบาลทำงานอย่างไร? ระบบ Paperless ทำงานผ่านระบบ Hospital Information System (HIS) ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดของโรงพยาบาลไว้ในศูนย์กลาง ตั้งแต่การลงทะเบียน การตรวจวินิจฉัย การสั่งยา การเก็บผลแล็บ ไปจนถึงการชำระเงิน ข้อมูลทั้งหมดจะถูกบันทึกในรูปแบบดิจิทัลผ่านระบบ EMR/EHR และเข้าถึงได้แบบเรียลไทม์โดยบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับอนุญาต 4. ใครบ้างที่ใช้งานระบบ Paperless โรงพยาบาล? ผู้ใช้งานหลักของระบบ Paperless โรงพยาบาล ได้แก่ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่เวชระเบียน ห้องแล็บ ห้องยา ฝ่ายการเงิน และฝ่ายบริหาร รวมถึงผู้ป่วยที่เข้าถึงระบบนัดหมายและลงทะเบียนออนไลน์ได้ด้วย 5. ระบบ Paperless โรงพยาบาลปลอดภัยแค่ไหน? Paperless ในโรงพยาบาลปลอดภัยกว่าแฟ้มกระดาษ เพราะมีมาตรการด้าน Cybersecurity และ Data Privacy เช่น การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) การกำหนดสิทธิ์เข้าถึง (Access Control) ระบบบันทึกการใช้งาน (Audit Log) และการยืนยันตัวตนแบบดิจิทัล (Digital Signature) MEDHIS ระบบที่ช่วยส่งเสริม Paperless ในโรงพยาบาล MEDHIS ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (Hospital Information System – HIS) ที่ออกแบบและพัฒนาโดย MEDcury รองรับการทำงานของโรงพยาบาลทุกขนาด รวมถึงสถานพยาบาลประเภทอื่น ๆ ในธุรกิจเฮลท์แคร์ มาพร้อมคุณสมบัติที่ตอบโจทย์การพัฒนา Smart Hospital ไม่ว่าจะเป็น Full EMR system เชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยทุกแผนกด้วยระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร เพื่อให้แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ลดการทำงานซ้ำซ้อนและข้อผิดพลาดในการรักษา Web-based & Cloud Native รองรับการทำงานบนระบบ Web-based และ Cloud Native ตอบโจทย์การใช้งานของ Smart Hospital ที่ต้องการความยืดหยุ่น ปลอดภัย และรองรับการเติบโตในอนาคต Web Responsive ออกแบบระบบให้ใช้งานได้จากทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ตโฟน เข้าถึงข้อมูลเวชระเบียนได้สะดวก ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้เร็วขึ้น Paperless Transformation เปลี่ยนผ่านสู่โรงพยาบาลไร้กระดาษ (Paperless Hospital) ด้วยระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร ลดการใช้กระดาษ ลดความเสี่ยงจากการจัดเก็บเอกสารแบบเดิม และเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา แบ่งปัน และส่งต่อข้อมูลภายในโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย สถานพยาบาลหรือธุรกิจเฮลท์แคร์ที่กำลังมองหาระบบ HIS ที่พร้อมรองรับการเติบโตในยุคดิจิทัล และเปิดรับศักยภาพใหม่ ๆ เพื่อยกระดับการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก MEDcury ยินดีให้คำปรึกษา ทั้งด้านเทคนิคและการปรับใช้ระบบให้เข้ากับบริบทของสถานพยาบาล ติดต่อเราเพื่อพูดคุยกับทีมของเราได้โดยตรงที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล: sales@medcury.health ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook: facebook.com/medcury.health/ LinkedIn: linkedin.com/company/medcury YouTube: https://www.youtube.com/@MEDcury
- MEDcury ร่วมกับ Tree(3) ลงนามสัญญาตัวแทนจำหน่ายระบบ MEDHIS ขยายความเชื่อมั่นระบบสารสนเทศโรงพยาบาลในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
บริษัท เมดคิวรี จำกัด ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ระบบบริหารจัดการข้อมูลสำหรับธุรกิจโรงพยาบาล จับมือลงนามสัญญาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัท ทรีทรี อินเทลลิเจนซ์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโซลูชันปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายและผู้แนะนำผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์และบริการของบริษัท เมดคิวรี จำกัด ภายใต้ระบบ MEDHIS อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ อาคารบางกอก บิสซิเนส เซ็นเตอร์ (บีบีซี) ชั้น 23 บริษัท เมดคิวรี จำกัด นำโดยคุณพวัสส์ ธนวุฒิศิรวัชร์ (ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม) คุณเอกฤทธิ์ ธรรมกุล (ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม) และคุณวัชรพันธ์ พิมลเศรษฐ์ (ผู้อำนวยการฝ่ายขาย) พร้อมด้วยบริษัท ทรีทรี อินเทลลิเจนซ์ จำกัด นำโดยคุณธนิศร์ พิริยะโภคานนท์ (กรรมการบริษัท) ร่วมลงนามสัญญาคู่ค้าเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อเป้าหมายในการขยายขอบเขตการใช้งานซอฟต์แวร์ระบบ MEDHIS ไปยังธุรกิจสถานพยาบาลต่าง ๆ ภายในประเทศไทย ด้วยศักยภาพของซอฟต์แวร์ดังกล่าวและความเชี่ยวชาญในการติดตั้งระบบและการให้บริการลูกค้าของบริษัทคู่ค้า ทำความรู้จักและติดตามข้อมูลข่าวสารจาก Tree(3) ผ่านเว็บไซต์ได้ที่ www.tree3.asia เพื่อขยายความเชื่อมั่นให้ระบบสารสนเทศโรงพยาบาลในประเทศไทย (HIS) ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยทีมงานที่มีความสามารถจากบริษัท เมดคิวรี จำกัด และบริษัท ทรีทรี อินเทลลิเจนซ์ จำกัด จะช่วยผลักดันการพัฒนาซอฟต์แวร์และการติดตั้งระบบ MEDHIS ในอนาคตอย่างต่อเนื่องต่อไป ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล MEDHIS จากเมดคิวรี ระบบ MEDHIS ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (HIS) จากบริษัท เมดคิวรี มีเป้าหมายในการพัฒนาระบบสารสนเทศในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่องให้พร้อมเข้าสู่การเป็น Smart Hospital ด้วยจำนวนโมดูลที่ครบครันในระบบ MEDHIS สำหรับการดำเนินงานในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ (Complete Core Modules for Hospital Operation) การใช้เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Medical Record) ลดการใช้กระดาษในสถานพยาบาล (Paperless Hospital) หรือการนำ AI ทางการแพทย์มาปรับใช้ในการให้บริการผู้ป่วย ฯลฯ ตอบโจทย์การดำเนินงานของบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งให้สามารถดำเนินงานต่อได้แบบไม่มีสะดุด ด้วยซอฟต์แวร์การแพทย์ที่มีประสิทธิภาพและทีมงานจากเมดคิวรีที่เข้าใจการดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลในประเทศไทยเป็นอย่างดี เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลสามารถส่งมอบการให้บริการที่ดีผ่านความเชื่อมั่นในการติดตั้งและใช้งานระบบ MEDHIS จากบริษัทเมดคิวรีและทีมงานของเราอย่างต่อเนื่อง โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook: facebook.com/medcury.health/ LinkedIn: linkedin.com/company/medcury YouTube: https://www.youtube.com/@MEDcury
- OPD และ IPD คืออะไร? สำคัญอย่างไรต่อระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (HIS)
Table of Contents OPD และ IPD ต่างกันอย่างไร? OPD (Out-Patient Department) คืออะไร? IPD (In-Patient Department) คืออะไร? OPD และ IPD พบในสถานพยาบาลแบบใดได้บ้าง? ทำไมระบบสารสนเทศโรงพยาบาลจึงสำคัญต่อแผนก OPD และ IPD? คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแผนก OPD และ IPD Key Takeaways OPD (Outpatient Department) คือแผนกผู้ป่วยนอก ที่ให้การรักษาผู้ป่วยแบบไม่ต้องค้างคืน อาจเป็นการตรวจรักษาโรคทั่วไป การทำหัตถการเล็ก ๆ หรือกายภาพบำบัด ส่วน IPD (In-Patient Department) คือแผนกผู้ป่วยใน ให้การรักษาผู้ป่วยที่แพทย์ลงความเห็นว่าต้องติดตามอาการใกล้ชิด แผนก OPD นั้นจะมีอยู่ในสถานพยาบาลตั้งแต่คลินิกไปจนถึงโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ส่วนแผนก IPD จะอยู่ในโรงพยาบาลขนาดกลางถึงใหญ่ ที่มีบริการครบวงจร อุปกรณ์และบุคลากรทางการแพทย์ที่ครบถ้วนมากกว่า โดยระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (HIS) ถือเป็นตัวกลางที่ช่วยเชื่อมต่อข้อมูลของสองแผนกให้เชื่อมต่อกันได้อย่างราบรื่น หากไปโรงพยาบาลหรือเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันสุขภาพสักเล่ม หลายคนคงเคยเห็นคำว่า OPD (ผู้ป่วยนอก) หรือ IPD (ผู้ป่วยใน) อยู่บ้าง แต่อาจจะยังไม่รู้ว่าทั้งสองคำนี้ต่างกันอย่างไร โดยเฉพาะในแง่การรักษาในโรงพยาบาล MEDcury จะชวนทำความรู้จักสองคำนี้ให้มากขึ้นว่า OPD และ IPD คืออะไร ทั้งสองแผนกนี้ต่างกันตรงไหนบ้าง OPD และ IPD ต่างกันอย่างไร? หัวข้อเปรียบเทียบ OPD (ผู้ป่วยนอก) IPD (ผู้ป่วยใน) ลักษณะ ผู้ป่วยที่มารับการตรวจรักษา และกลับบ้านได้โดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ผู้ป่วยที่ต้องนอนพักรักษาในโรงพยาบาล เพื่อรับการดูแลและเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ระยะเวลารักษา รักษาติดต่อกันไม่เกิน 6 ชั่วโมง กลับบ้านได้หลังการรักษา ไม่จำเป็นต้องแอดมิต รักษาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง จำเป็นต้องแอดมิต นอนพักที่โรงพยาบาล ตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป ประเภทการรักษา การผ่าตัดเล็ก การรักษาทั่วไป การรักษาฟื้นฟู การติดตามการรักษา ฯลฯ การผ่าตัดแบบนอนพักฟื้น การผ่าคลอด การดูแลผู้ป่วยวิกฤต ฯลฯ ตัวอย่างโรค ไข้หวัดทั่วไป ตรวจสุขภาพ กายภาพบำบัด ผ่าตัดเล็ก เช่น ตัดเล็บขบ, ผ่าซีสต์ ปอดอักเสบ โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน อุบัติเหตุรุนแรง ผ่าตัดใหญ่ เช่น ผ่าตัดหัวใจ ผ่าตัดช่องท้อง สถานพยาบาลที่รองรับได้ สถานพยาบาลทุกขนาด สถานพยาบาลขนาดกลาง-ใหญ่ ระบบที่สามารถรองรับได้ ระบบ CIS ระบบ CMS โปรแกรมบริหารจัดการคลินิก ระบบ ERP ระบบ CRM ฯลฯ ระบบ HIS ระบบ HIE ระบบ ERP ระบบ CRM ฯลฯ จำนวนชั่วโมง ถือเป็นเกณฑ์ในการจำแนกประเภทผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) รวมไปถึงรูปแบบการรักษาภายในสถานพยาบาลให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยคำว่า OPD และ IPD ไม่ได้จำกัดการใช้งานอยู่เฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ยังนำไปใช้ในบริบทอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันได้ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจประกันสุขภาพ ธุรกิจยาและเวชภัณฑ์ OPD (Outpatient Department) คืออะไร? OPD ย่อมาจาก Outpatient Department คือ แผนกผู้ป่วยนอก เป็นคำศัพท์ทางการแพทย์ที่ใช้เรียกผู้ป่วยที่เข้ารับบริการในสถานพยาบาลติดต่อกันไม่เกิน 6 ชั่วโมง หรือเรียกว่าเป็นผู้ป่วยที่กลับบ้านได้โดยไม่จำเป็นต้องแอดมิตที่โรงพยาบาลนั่นเอง การรักษาแบบ OPD (ผู้ป่วยนอก) ครอบคลุมอะไรบ้าง? การตรวจและวินิจฉัย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจรักษาทั่วไป เช่น ตรวจโรคเบื้องต้น รักษาไข้หวัด ให้คำปรึกษาทางการแพทย์ และการตรวจรักษาเฉพาะทาง เช่น ตรวจโรคหัวใจ ตรวจโรคตา ตรวจทางเดินอาหาร การรักษาและติดตามผล การรักษาฟื้นฟู เช่น กายภาพบำบัด การทำแผล การติดตามผลหลังการรักษา รวมถึงการฉีดยาหรือหัตถการเล็ก ๆ ที่รอดูอาการไม่กี่ชั่วโมงก่อนกลับบ้าน การผ่าตัดเล็กและการตรวจเพิ่มเติม การผ่าตัดเล็กที่ไม่ต้องพักฟื้น เช่น ผ่าซีสต์เล็ก ๆ ผ่าตัดเล็บขบ ตัดก้อนเนื้อขนาดเล็ก ไปจนถึงการตรวจทางรังสี เช่น การเอ็กซเรย์ อัลตราซาวนด์ ตัวอย่างการให้บริการแบบ OPD ในสถานพยาบาล A รู้สึกไม่สบายเพราะมีอาการเจ็บคอและมีน้ำมูก จึงเดินทางไปโรงพยาบาลและลงทะเบียนที่แผนกผู้ป่วยนอก (OPD) แพทย์วินิจฉัยว่า A เป็นไข้หวัดธรรมดา สามารถรับประทานยาและเฝ้าดูอาการที่บ้านได้ A จึงรับยา ชำระเงินและกลับบ้านไปพักผ่อนตามคำแนะนำของแพทย์ IPD (Inpatient Department) คืออะไร? IPD ย่อมาจาก Inpatient Department คือ แผนกผู้ป่วยใน ใช้จำแนกกลุ่มของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาภายในสถานพยาบาลไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง และจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาแบบค้างคืนที่โรงพยาบาล หรือเรียกว่าการแอดมิต (Admit) โดยการเปลี่ยนสถานะจากผู้ป่วยนอกเป็นผู้ป่วยใน จะขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ร่วมกัน การรักษาแบบ IPD (ผู้ป่วยใน) ครอบคลุมอะไรบ้าง? โรคที่ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด ผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงหรรือมีอาการรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ หอบหืดกำเริบ โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน รวมถึงเป็นผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่องจากแพทย์และพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมง การผ่าตัดใหญ่หรือหัตถการที่ซับซ้อน การผ่าตัดที่มีความเสี่ยงสูง ต้องนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลเพื่อติดตามภาวะแทรกซ้อนและดูแลหลังการผ่าตัด เช่น ผ่าตัดหัวใจ ผ่าตัดสมอง ผ่าตัดช่องท้อง การรักษาอาการบาดเจ็บรุนแรง อุบัติเหตุ เช่น กระดูกหักหลายตำแหน่ง เลือดออกภายใน ศีรษะกระแทกรุนแรง ต้องใช้เครื่องมือพิเศษและการดูแลใกล้ชิด ผู้ป่วยเรื้อรังที่มีภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง ที่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรง จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อรักษาต่อเนื่อง ผู้ป่วยที่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยชีวิต ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการฟอกไตหรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำตลอดเวลา ไปจนถึงผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ตัวอย่างการให้บริการแบบ IPD ในสถานพยาบาล B รู้สึกไม่สบาย เพราะมีไข้สูงและหนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว จึงเดินทางไปโรงพยาบาลและลงทะเบียนที่แผนกผู้ป่วยนอก (OPD) แพทย์วินิจฉัยว่า B เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ที่สามารถแพร่เชื้อได้ แพทย์จึงตัดสินใจให้ B แอดมิทและเข้ารับการรักษาตัวในแผนกผู้ป่วยใน (IPD) เพื่อดูอาการอย่างใกล้ชิด OPD และ IPD พบในสถานพยาบาลแบบใดได้บ้าง? ประเภทสถานพยาบาล ลักษณะ บริการผู้ป่วยนอก (OPD) บริการผู้ป่วยใน (IPD) ขนาดเล็ก (คลินิก, รพ.สต.) เน้นการรักษาผู้ป่วยนอก ไม่รองรับการนอนพักฟื้น มีข้อจำกัดด้านบุคลากรและอุปกรณ์ ให้บริการหลัก เช่น ตรวจโรคทั่วไป เฉพาะทางเบื้องต้น ไม่มีบริการ IPD ขนาดกลาง (โรงพยาบาลชุมชน/โรงพยาบาลเอกชน) รองรับการรักษาที่ซับซ้อนขึ้น ทำหัตถการและผ่าตัดเล็กได้ มีบริการผู้ป่วยในแต่จำนวนจำกัด ตรวจโรคทั่วไปและเฉพาะทางบางสาขา รองรับผู้ป่วยในได้ แต่จำนวนเตียงและอุปกรณ์จำกัด ขนาดใหญ่ (โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลเฉพาะทาง) ครบวงจร มีแพทย์เฉพาะทางหลายสาขา อุปกรณ์ทันสมัย รองรับผู้ป่วยจำนวนมาก ครอบคลุมทุกสาขา ทั้งโรคทั่วไปและเฉพาะทาง ครบวงจร มีห้องพักผู้ป่วยหลายประเภท รวมถึง ICU สำหรับธุรกิจสถานพยาบาลมักออกแบบการให้บริการ โดยยึด OPD เป็นอันดับแรกเสมอ ตามมาด้วยการให้บริการแบบ IPD ที่มีปัจจัยอื่น ๆ ประกอบการพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นจำนวนห้องตรวจ จำนวนห้องผ่าตัด จำนวนเตียง ฯลฯ เพื่อกำหนดขนาดของสถานพยาบาลให้ตรงกับความต้องการด้านธุรกิจ โดยปัจจุบันสามารถแบ่งรูปแบบการให้บริการของสถานพยาบาลได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้ 1. สถานพยาบาลขนาดเล็ก เช่น คลินิก สถานพยาบาลขนาดเล็กเป็นสถานพยาบาลที่ให้เน้นการให้บริการผู้ป่วยนอก (OPD) โดยสถานพยาบาลประเภทนี้ มักจะเป็นคลินิกตรวจโรคทั่วไป หรือคลินิกเฉพาะทางบางประเภท โดยมักมีข้อจำกัดด้านจำนวนบุคลากร อุปกรณ์ทางการแพทย์ และจำนวนผู้ป่วยที่รองรับต่อวัน ตัวอย่างเช่น คลินิกเวชกรรม คลินิกทันตกรรม คลินิกผิวหนัง คลินิกหูคอจมูก คลินิกสุขภาพจิต โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 2. สถานพยาบาลขนาดกลาง สถานพยาบาลขนาดกลาง เป็นโรงพยาบาลที่รองรับผู้ป่วยได้ทั้งผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (OPD) โดยทั่วไปมักมีจำนวนเตียงประมาณ 31-90 เตียง ให้บริการตรวจรักษาได้ทั้งโรคทั่วไปและบางสาขาเฉพาะทาง รองรับการผ่าตัดขนาดเล็ก และการพักฟื้นระยะสั้น และมีศักยภาพในการเพิ่มสาขาหรือต่อยอดเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้ เช่น โรงพยาบาลชุมชน (Community Hospital) ในอำเภอขนาดกลาง โรงพยาบาลเอกชนระดับกลางในเมืองใหญ่ เช่น โรงพยาบาลบางประกอบธุรกิจทั่วไปที่มี 50–100 เตียง โรงพยาบาลเฉพาะทางขนาดกลาง เช่น โรงพยาบาลทันตกรรม 3. สถานพยาบาลขนาดใหญ่หรือสถานพยาบาลเฉพาะทาง สถานพยาบาลขนาดใหญ่ เป็นโรงพยาบาลที่ให้มีจำนวนเตียงตั้งแต่ 120 เตียงขึ้นไป มีบริการครบวงจร ทั้งด้วยรูปแบบการให้บริการและแผนกที่มีแพทย์เฉพาะทางหลากหลาย อุปกรณ์การรักษาที่ครบครัน รวมถึงห้องผ่าตัดที่ให้บริการผู้ป่วยได้มากขึ้น และยังรับการส่งต่อผู้ป่วยจากคลินิกหรือโรงพยาบาลอื่น ๆ เข้ามารักษาต่อได้อีกด้วย เช่น โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ โรงพยาบาลเฉพาะทางระดับประเทศ เช่น สถาบันโรคหัวใจ สถาบันมะเร็ง สถาบันสุขภาพเด็ก จะเห็นได้ว่า ความครบครันของการให้บริการภายในสถานพยาบาล ที่มีทั้งรูปแบบ OPD และ IPD นับเป็นปัจจัยสำคัญที่สะท้อนถึงศักยภาพและความพร้อมในการให้บริการที่ครอบคลุมตามความต้องการของผู้ป่วยที่หลากหลายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม รูปแบบการบริการที่ครบครันเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอ ให้สถานพยาบาลตอบโจทย์การให้บริการในด้านต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น การมีระบบ Workflow ที่เชื่อมโยงแผนกต่าง ๆ ภายในสถานพยาบาลให้ทำงานร่วมกันได้อย่างครบวงจร จึงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนให้สถานพยาบาลสามารถให้บริการทั้งรูปแบบ OPD/IPD อย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย ทำไมระบบสารสนเทศโรงพยาบาลจึงสำคัญต่อแผนก OPD และ IPD? ข้อมูลการรักษาของผู้ป่วยถือเป็นข้อมูลที่อ่อนไหวมาก รวมถึงผู้ป่วยเองก็คาดหวังว่าจะได้รับบริการที่รวดเร็ว ถูกต้อง และปลอดภัย ดังนั้นโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลจำเป็นต้องมีระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (Hospital Information System: HIS) ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยบริหารจัดการข้อมูให้ทำงานได้อย่างราบรื่น ความสำคัญของระบบสารสนเทศต่อ OPD และ IPD มีอะไรบ้าง? เพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อข้อมูล ข้อมูลผู้ป่วยจากการเข้ารับบริการ OPD (ผู้ป่วยนอก) ส่งต่อไปยัง IPD (ผู้ป่วยใน) ได้ทันที หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงและต้องเข้ารักษาต่อ สนับสนุนการสื่อสารระหว่างแผนก แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ ลดความผิดพลาดจากการสื่อสาร จัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยอย่างปลอดภัย ทั้งประวัติการรักษา ผลตรวจทางห้องแล็บ ข้อมูลยา และการวินิจฉัย จะถูกเก็บเป็นฐานข้อมูลกลาง ช่วยให้ตรวจสอบย้อนหลังได้สะดวก ยกระดับประสบการณ์ของผู้ป่วย เมื่อข้อมูลถูกจัดการอย่างเป็นระบบ ผู้ป่วยจะได้รับบริการที่รวดเร็วขึ้น ตั้งแต่การลงทะเบียน OPD ไปจนถึงการรักษา IPD คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแผนก OPD และ IPD 1. OPD คืออะไร? OPD ( Outpatient Department) หรือแผนกผู้ป่วยนอก เป็นการให้บริการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่ไม่จำเป็นต้องนอนพักฟื้นในโรงพยาบาล ผู้ป่วยสามารถรับการตรวจ รับยา ทำหัตถการเล็ก ๆ หรือเข้ารับการบำบัด แล้วกลับบ้านได้ภายในวันเดียว เช่น การตรวจไข้หวัด การทำแผล การฉีดยา หรือการผ่าตัดเล็กที่ไม่ต้องพักฟื้น 2. IPD คืออะไร? IPD (Inpatient Department) หรือแผนกผู้ป่วยใน เป็นการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือซับซ้อน จำเป็นต้องนอนพักรักษาที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 1 วันขึ้นไป เพื่อให้แพทย์และพยาบาลเฝ้าดูอาการและให้การรักษาอย่างต่อเนื่อง เช่น ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ ผู้ป่วยอุบัติเหตุรุนแรง หรือผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องการการดูแลหลังการผ่าตัด 3. ความแตกต่างระหว่าง OPD และ IPD คืออะไร? ความแตกต่างหลักของ OPD และ IPD อยู่ที่ความรุนแรงของอาการและระยะเวลาในการรักษา โดย OPD คือแผนกที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาติดต่อกันไม่เกิน 6 ชั่วโมง ส่วน IPD เป็นการรักษามากกว่า 6 ชั่วโมง ต้องค้างคืนในโรงพยาบาล เช่น การใช้เครื่องมือแพทย์พิเศษ การให้น้ำเกลือ หรือการดูแลหลังผ่าตัดใหญ่ 4. จะรู้ได้อย่างไรว่าอาการต้องรักษาแบบ OPD หรือ IPD? แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยและประเมินการรักษาตามอาการ หากเป็นอาการเล็กน้อย เช่น ไข้หวัด ปวดศีรษะ ท้องเสียเล็กน้อย มักจะเข้ารับการรักษาแบบ OPD แต่หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน หรือเกิดอุบัติเหตุ แพทย์จะพิจารณาให้นอนรักษาที่ IPD เพื่อความปลอดภัย 5. ทำไมต้องมีทั้งประกัน OPD และ IPD? สำหรับคำว่า OPD และ IPD นั้นจะพบเห็นได้ในประกันสุขภาพด้วย สาเหตุที่มีการแยกประกัน OPD และ IPD เพราะรูปแบบการรักษาและค่าใช้จ่ายแตกต่างกัน โดย OPD มักมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า เช่น ค่ายาและค่าตรวจทั่วไป แต่ IPD มีค่าใช้จ่ายสูงกว่ามาก เนื่องจากต้องเสียค่าห้องพัก ค่าบริการแพทย์และพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการผ่าตัดหรืออุปกรณ์พิเศษ MEDHIS ระบบสารสนเทศโรงพยาบาลจาก MEDcury ระบบ MEDHIS จาก MEDcury ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล รองรับรูปแบบการให้บริการทั้ง OPD และ IPD มั่นใจได้ด้วยประสบการณ์การพัฒนาและให้บริการระบบแก่สถานพยาบาลมากกว่า 30 แห่งในประเทศไทย พร้อมด้วยจำนวนโมดูลที่ครอบคลุมตามมาตรฐานการดำเนินงานแต่ละแผนกในสถานพยาบาล MEDcury พัฒนาระบบเพื่อธุรกิจ Healthcare ด้วยความเชี่ยวชาญของทีมงานที่คร่ำหวอดในวงการสาธารณสุข และสั่งสมประสบการณ์การติดตั้งระบบโรงพยาบาลให้สถานพยาบาลมายาวนานกว่าทศวรรษ เรามุ่งมั่นที่จะนำพาระบบสาธารณสุขไทยสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการบริหารจัดการข้อมูลด้วยระบบที่ได้มาตรฐานและการเชื่อมต่อระบบการทำงานอย่างครบวงจร ด้วยหน้าตาและประสบการณ์การใช้งานภายในระบบที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่พยาบาล แพทย์ เจ้าหน้าที่แล็บ ผู้ดูแลระบบ ฯลฯ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการบริหารทรัพยากรและการให้บริการผ่านระบบที่เสถียรและมีมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลผู้ป่วย ให้การบริหารจัดการข้อมูลภายในสถานพยาบาลราบรื่นแบบไร้รอยต่อ มุ่งสู่ความพร้อมในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสถานพยาบาลทั้งในประเทศและต่างประเทศในอนาคตอันใกล้ ท่านใดที่สนใจปรึกษาระบบสารสนเทศโรงพยาบาล สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากผู้เชี่ยวชาญของ MEDcury ได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury
- ระบบโรงพยาบาลคืออะไร? กับความสำคัญในการดำเนินงานในโรงพยาบาล
“ระบบโรงพยาบาล” เปรียบเสมือนกลไกในขับเคลื่อนให้ธุรกิจโรงพยาบาลดำเนินไปได้อย่างครบวงจรตั้งแต่หน้าบ้านไปจนถึงหลังบ้าน เพื่อควบคุมการดำเนินงานในแต่ละส่วนงานหรือแผนกต่าง ๆ ในโรงพยาบาลให้เป็นไปอย่างเป็นระบบ แต่จะมีความจำเป็นและสำคัญต่อการดำเนินงานในโรงพยาบาลอย่างไรนั้น หาคำตอบทั้งหมดได้ในบทความนี้ Table of Contents ระบบโรงพยาบาลคืออะไร ? ขนาดของโรงพยาบาลมีกี่ประเภท? 1. สถานพยาบาลประเภท OPD 2. สถานพยาบาลประเภท IPD องค์ประกอบหลักของระบบโรงพยาบาลมีอะไรบ้าง ? 1. ระบบหน้าบ้าน (Front Office Systems) 2 รูปแบบหลักของระบบบริหารจัดการสถานพยาบาล EMR ตัวแปรสำคัญของระบบหน้าบ้านของสถานพยาบาล ทางเลือกของระบบโรงพยาบาลยุคใหม่ 2. ระบบหลังบ้าน (Back Office Systems) ระบบ ERP สำหรับธุรกิจ Healthcare การเชื่อมต่อระบบ HIS และ ERP ในสถานพยาบาล 3. ระบบสนับสนุนอื่น ๆ (Support System) Telehealth หรือ Telemedicine ระบบ CRM (Customer Relationship Ma nagement) “ระบบโรงพยาบาล” ยกระดับการบริหารจัดการอย่างไรบ้าง ? การเลือกใช้ระบบโรงพยาบาลให้เหมาะสมกับธุรกิจสถานพยาบาล 1. ความสามารถของระบบ 2. เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานในระยะยาว 3. ระบบที่ได้รับการยอมรั บ เมดคิวรี-แบ็คยาร์ด ผู้ให้บริการด้านระบบโรงพยาบาลแบบครบวงจร ระบบโรงพยาบาลคืออะไร ? ระบบโรงพยาบาล (Hospital System) คือระบบที่ใช้ในการบริหารจัดการแผนกต่าง ๆ ให้ไปเป็นได้อย่างราบรื่น ทั้งการบริการทางการแพทย์ การจัดการทรัพยากร หรือการบริหารจัดการภายในโรงพยาบาล ฯลฯ หากอธิบายให้เห็นภาพ ตั้งแต่คนไข้เดินเข้ามาใช้บริการ ชำระเงิน รับยา และออกจากโรงพยาบาล ในแต่ละขั้นตอนที่กล่าวมานี้จะต้องมีระบบรองรับให้โรงพยาบาลสามารถบริการผู้ป่วยไปพร้อมกับการดำเนินธุรกิจได้นั่นเอง ระบบโรงพยาบาลมีบทบาทในการควบคุมการดำเนินงานในแต่ละส่วน ตามมาตรฐานขั้นตอนการทำงาน (SOP) ที่ถูกออกแบบกระบวนการใช้งานให้เหมาะสมกับขนาดและความต้องการของสถานพยาบาลแต่ละแห่ง ขนาดของโรงพยาบาลมีกี่ประเภท? การเลือกใช้ระบบในโรงพยาบาลมักขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่าง ๆ ประกอบกัน โดยพิจารณาได้จากหลายปัจจัย อาทิ ขนาด จำนวนเตียง กระบวนการจัดการ (Operation Flow) และขนาดของธุรกิจโรงพยาบาล โดยสามารถแบ่งขนาดของธุรกิจออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ สถานพยาบาลประเภท OPD หรือสถานพยาบาลที่บริการเฉพาะผู้ป่วยนอกเท่านั้น เช่น คลินิกเวชกรรม คลินิกทันตกรรม คลินิกสุขภาพจิต โรงพยาบาส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เป็นต้น สถานพยาบาลประเภท IPD หรือสถานพยาบาลที่รองรับผู้ป่วยค้างคืนหรือแอดมิต (Admit) ได้ เช่น โรงพยาบาลเฉพาะทาง โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน เป็นต้น คำนิยามของระบบโรงพยาบาลจึงไม่จำกัดเพียงแค่การใช้งานภายในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่รวมถึงสถานพยาบาลอย่าง “คลินิก” ที่ให้บริการในรูปแบบ OPD ด้วยเช่นกัน อ่านบทความต่อ OPD และ IPD คืออะไร ส่วนประกอบที่สำคัญของระบบสารสนเทศโรงพยาบาล องค์ประกอบหลักของระบบโรงพยาบาลมีอะไรบ้าง ? ระบบโรงพยาบาลแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบหลักตามวัตถุประสงค์และความจำเป็นของการใช้งาน เพื่อกำหนดกระบวนการดำเนินงานให้สนับสนุนการทำงานของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ สถานพยาบาลแต่ละแห่งจะมีความสามารถในการนำระบบฯ เข้ามาปรับใช้มากน้อยเพียงใดนั้น มักขึ้นอยู่กับการพิจารณาทรัพยากรและประเมินงบประมาณที่มีอยู่ ตั้งแต่ระดับแผนกไปจนถึงภาพรวมของธุรกิจ โดยในบทความนี้จะจำแนกองค์ประกอบของระบบโรงพยาบาลตามกระบวนการจัดการ (Hospital Operation Flow) ภายในโรงพยาบาลทั่วไปเป็นหลัก ระบบหน้าบ้าน (Front Office Systems) ระบบหน้าบ้านของสถานพยาบาล คือระบบที่รองรับการใช้บริการของผู้ป่วยภายในสถานพยาบาลตั้งแต่เดินเข้ามาใช้บริการ ชำระเงิน และเดินออกไปหลังการใช้บริการเสร็จเรียบร้อย ช่วยให้การดำเนินงานมีความเสถียร และลดภาระบุคลากรทางการแพทย์ ระบบหน้าบ้านของสถานพยาบาล อาจเรียกได้ว่าคือ “ระบบบริหารจัดการสถานพยาบาล” ที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง ที่สามารถแบ่งรูปแบบของระบบฯ ตามขนาดและรูปแบบการให้บริการของสถานพยาบาล ดังนี้ 2 รูปแบบหลักของระบบหน้าบ้านสถานพยาบาล ระบบ CIS (Clinic Information System) ระบบบริหารจัดการคลินิกที่เน้นการให้บริการสำหรับคลินิกที่บริการเฉพาะผู้ป่วยนอก (OPD) ด้วยจุดเด่นของระบบที่เน้นมอบประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ใช้บริการ (Patient-Centric) จากการแข่งขันของธุรกิจคลินิกในปัจจุบัน โดยในประเทศไทยมีผู้ให้บริการดังกล่าว ยกตัวอย่าง โปรแกรม DoctorEase จากบริษัท เอทิซ อินโนเวชั่น จำกัด เป็นต้น ระบบ HIS (Hospital Information System) คือระบบสนสนเทศโรงพยาบาลที่ครอบคลุมการบริหารจัดการแผนกต่าง ๆ ภายในโรงพยาบาล เชื่อมต่อข้อมูล ประสานงานระหว่างแผนก และค้นหาข้อมูลเพื่อนำไปใช้งานได้รวดเร็วขึ้น โดยในประเทศไทยมีผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ระบบ HIS ในตลาดสำหรับภาครัฐและเอกชน ยกตัวอย่าง ระบบ MEDHIS จากบริษัท เมดคิวรี จำกัด และ ระบบ HOSxP จากบริษัท บางกอก เมดิคอล ซอฟต์แวร์ จำกัด เป็นต้น ระบบบริหารจัดการสถานพยาบาลทั้ง 2 ระบบนี้ จะถูกเชื่อมต่อข้อมูลผู้ป่วยกับแผนกต่าง ๆ ให้บริหารจัดการได้อย่างคล่องตัว ผ่านการใช้งานฟีเจอร์ (Features) และโมดูล (Modules) ที่แตกต่างกันออกไปตามความต้องการของสถานพยาบาลนั้น ๆ อย่างไรก็ตาม สถานพยาบาลบางแห่งไม่จำเป็นต้องมีฟีเจอร์หรือจำนวนโมดูลที่ครบครันเสมอไป ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้งาน ที่ต้องพิจารณาความเหมาะสมจากการนำเสนอขายของผู้ให้บริการระบบฯ ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดกับการดำเนินงานในภาพรวมได้ ยกตัวอย่าง ระบบ MEDHIS (ระบบบ HIS ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก ระบบ Centrix ) จากบริษัท เมดคิวรี จำกัด ด้วยจำนวนโมดูลที่ครบครันมากถึง 21 โมดูลตามมาตรฐานการดำเนินงานของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ที่ครอบคลุมตั้งแต่การบริการ OPD และ IPD อย่างครบวงจร EMR ตัวแปรสำคัญของระบบหน้าบ้านของสถานพยาบาล ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Medical Record) ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์บันทึกการรักษาของผู้ป่วยเข้าสู่ระบบสารสนเทศ ค้นหาข้อมูลสำหรับการดำเนินงานภายในระบบหน้าบ้านของสถานพยาบาล และเชื่อมต่อระบบอื่น ๆ ในรูปแบบดิจิทัลได้อย่างราบรื่นและเรียลไทม์มากขึ้น แน่นอนว่าการนำระบบสารสนเทศสักหนึ่งระบบเข้ามาใช้งานภายในสถานพยาบาลจำเป็นต้องมีมาตรฐานสากลในการชี้วัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาในโรงพยาบาลให้กับผู้ใช้งานและผู้ใช้บริการด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่าง มาตรฐาน EMRAM หรือ Electronic Medical Record Adoption Model ที่หลาย ๆ โรงพยาบาลในประเทศไทยได้รับการรับรององค์กรด้านการรับรองมาตรฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของโรงพยาบาล HIMSS (Healthcare Information and Management Systems Society) ที่จัดลำดับความพร้อมของระบบสารสนเทศตั้งแต่ระดับ Stage 0-7 โดยสถานพยาบาลในประเทศไทยที่ได้การรับรองในระดับ Stage 7 อาทิ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ และโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ เป็นต้น ทางเลือกของระบบโรงพยาบาลยุคใหม่ ปัจจุบันสถานพยาบาลมักต้องการระบบบริหารจัดการที่ยืดหยุ่นสำหรับการขยายธุรกิจ และช่วยลดต้นทุนของการประกอบกิจการมากที่สุด โดยรูปแบบของระบบที่นิยมมากขึ้นและอาจเป็นตัวเลือกหลักของหลาย ๆ สถานพยาบาล คือการติดตั้งระบบแบบ Web-based และ Cloud-based อธิบายเข้าใจง่าย ๆ ดังนี้ Web-based เรียกว่าเว็บเบส คือรูปแบบการเข้าถึงระบบ (Access Model) ที่สามารถเข้าถึงผ่านเว็บบราวเซอร์ (Web Browser) โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ลงอุปกรณ์นั้น ๆ ระบบเว็บเบสจะช่วยบุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูลล่าสุดของผู้ป่วยได้จากทุก ๆ อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แท็บเล็ต หรือสมาร์ตโฟน ฯลฯ ยกตัวอย่างเช่น พยาบาลค้นหาข้อมูลของผู้ป่วยผ่านระบบ EMR บนอุปกรณ์แท็บแล็ต เป็นต้น Cloud-based คือหนึ่งในรูปแบบการประมวลผล (Computing Model) มีจุดเด่นของการปรับขนาดการใช้งานตามขนาดธุรกิจของสถานพยาบาล (Pay-as-you-go) และเข้าถึงข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ด้วยเช่นกัน คลาวด์เบสถือเป็นหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยให้สถานพยาบาลสามารถลดต้นทุนด้านงบประมาณ เมื่อเทียบกับตัวเลือกของการติดตั้งแบบ On-premise ที่จำเป็นต้องมีการจัดซื้อฮาร์ดแวร์ ห้องเซิร์ฟเวอร์ บุคลากรที่เชี่ยวชาญ ฯลฯ ในการบำรุงรักษา และต้นทุนของการรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เมื่อเทียบกับการบริหารจัดการโดยผู้ให้บริการคลาวด์ Web-based และ Cloud-based ไม่จำเป็นต้องติดตั้งคู่กันเสมอไป และการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ไม่ได้มีข้อเสียเปรียบไปมากกว่าเช่นกัน โดยขึ้นอยู่กับรูปแบบการดำเนินงาน งบประมาณ และโครงสร้างของสถานพยาบาลเพื่อพิจารณาตัวเลือกของการใช้งานและแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงระบบสถานพยาบาลในอนาคต สรุปแล้ว ระบบบริหารจัดการสถานพยาบาลคือตัวช่วยในการจัดการข้อมูลหน้าบ้านของสถานพยาบาลในแต่ละแผนก ให้อยู่ภายในระบบเดียวกัน ยกระดับการจัดเก็บข้อมูลให้กลายเป็นรูปแบบดิจิทัล (Digitization) ที่เชื่อมต่อข้อมูลเข้ากับระบบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบหลังบ้าน (ERP) อุปกรณ์ทางการแพทย์ (ioT) หรือระบบการแพทย์อื่น ๆ เพื่อเพิ่มขีดจำกัดในการดำเนินงานภายในสถานพยาบาล อ่านบทความต่อ 3 แนวทางพาโรงพยาบาล Go Green ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบหลังบ้าน (Back Office Systems) ระบบหลังบ้านของสถานพยาบาลมีหน้าที่รองรับการดำเนินงานที่เชื่อมต่อข้อมูลจากระบบหน้าบ้านอย่างระบบ HIS มีเป้าหมายในการบริหารจัดการแต่ละแผนกให้เชื่อมต่อฐานข้อมูลเดียวกันได้ (Centralized Data) ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญของการดำเนินงานในสถานพยาบาล ไม่ว่าจะเป็น การคลัง การจัดซื้อ การบริหารทรัพยากรบุคคล การเงินการบัญชี ฯลฯ ระบบ ERP สำหรับธุรกิจ Healthcare ระบบบริหารจัดการทรัพยากรหรือระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ภายในสถานพยาบาลมักเกี่ยวข้องกับแผนกต่าง ๆ อาทิ การจัดการสินค้าคงคลัง การจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ การเงินและการบัญชี การบริหารทรัพยากรบุคคล ฯลฯ ด้วยรูปแบบของสถานพยาบาลการเบิกจ่ายเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และจำนวนของสินค้าคงคลังที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ปฎิเสธไม่ได้ว่าการเลือกระบบหลังบ้านของสถานพยาบาลต้องพิจารณาจากระบบที่เชี่ยวชาญในธุรกิจ Healthcare โดยเฉพาะ การเชื่อมต่อระบบ HIS และ ERP ในสถานพยาบาล การเชื่อมต่อระบบหน้าบ้านและระบบหลังบ้านภายในโรงพยาบาลที่เสถียรนั้น คือการสั่งจ่ายยาโดยแพทย์และเภสัชกรผ่านระบบ HIS เพื่อดำเนินการตัดสินค้าคงคลัง และการลงบัญชีให้เป็นไปอย่างถูกต้องและแม่นยำในระบบ ERP นอกจากการพิจารณาระบบโรงพยาบาลที่ความเชี่ยวชาญในธุรกิจ Healthcare แล้ว ยังสามารถพิจารณาการคัดเลือกระบบจาก 3 ปัจจัย ดังนี้ ความเสถียรของการเชื่อมต่อระบบ (Systems Integration) ระหว่างระบบหน้าบ้านอย่าง HIS และระบบหลังบ้าน ERP ให้ข้อมูลเชื่อมต่อได้อย่างไร้รอยต่อมากที่สุด ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจ Healthcare ในการให้คำปรึกษา วิเคราะห์สภาพแวดล้อมองค์กรได้อย่างครอบคลุม และทีมงานติดตั้งระบบพร้อมบริการหลังการติดตั้งให้กับธุรกิจ Healthcare อย่างใกล้ชิด ความพร้อมของทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็น เครื่องมือทางการแพทย์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ บุคลากร ให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การเชื่อมแบบไร้รอยต่อระหว่าง 2 ระบบนี้ถือเป็นเรื่องท้าทายสำหรับหลาย ๆ โรงพยาบาล โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งด้านงบประมาณ ความพร้อมของบุคลากร และความสามารถในการค้นหาบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ ฯลฯ ทดแทนวิธีการนับและตัดสินค้าคงคลังนอกเหนือการใช้ระบบที่อาจนำมาสู่การทุจริตและเกิดความผิดพลาดได้ง่าย การปรับใช้ระบบ ERP กับธุรกิจโรงพยาบาลจึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจและต่อยอดจากขนาดของธุรกิจของโรงพยาบาลได้ตั้งแต่คลินิกผู้ป่วยนอก (OPD Clinic) ไปจนถึงสถานพยาบาลขนาดใหญ่ ยกตัวอย่าง ระบบ HealthBiz ERP จากบริษัท แบ็คยาร์ด จำกัด พัฒนาระบบ ERP เพื่อเจาะกลุ่มตลาดสถานพยาบาล โดยเชื่อมเข้ากับระบบ MEDHIS ของบริษัท เมดคิวรี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ HealthBiz ERP เหมาะสำหรับโรงพยาบาลที่กำลังมองหาระบบ ERP ที่เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาและประสบการณ์ในการบริหารจัดการทรัพยากรภายในโรงพยาบาล พร้อมตัวเลือกของการติดตั้งระบบหน้าบ้านของโรงพยาบาลจากผู้ให้บริการเดียวกันอย่างระบบ MEDHIS ที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นในการติดตั้งและความมั่นใจในการใช้งานควบคู่กับระบบอื่น ๆ ภายในสถานพยาบาลให้ไร้รอยต่อได้อย่างแท้จริง ระบบสนับสนุนอื่น ๆ (Support System) คือระบบสนับสนุนที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้สถานพยาบาลโดยเฉพาะผู้ป่วย ตอบโจทย์การให้บริการที่มากกว่าแค่การรักษา และเพิ่มความพึงพอใจในการใช้บริการแก่ผู้ป่วย ตัวอย่างเช่น Telehealth หรือ Telemedicine ที่ช่วยให้การบริการทางการแพทย์มีประสิทธิภาพมากขึ้นและไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในโรงพยาบาล ลดช่องว่างให้ผู้ป่วยใกล้ชิดการดูแลสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แอปพลิเคชันผู้ป่วย อุปกรณ์พกพาทางการแพทย์ ฯลฯ ระบบ CRM (Customer Relationship Management) ที่ช่วยยกระดับการดูแลผู้ป่วยได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นผ่านการช่องทางการติดต่อกับผู้ป่วย วิเคราะห์พฤติกรรมของการใช้บริการ และการประเมินความพึงพอใจหลังการใช้บริการ เป็นต้น ยกตัวอย่าง โรงพยาบาลเอกชนนำระบบ CRM เข้ามาปรับใช้ ช่วยให้โรงพยาบาลสามารถบริหารจัดการข้อมูลการใช้บริการของผู้ป่วย ในการเสนอขายผลิตภัณฑ์หรือแพ็กเกจสุขภาพแบบ Personalized ที่ช่วยตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคลได้อย่างตรงจุด โดยระบบดังกล่าวขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้งาน เนื่องจากอาจตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้โรงพยาบาลหลาย ๆ แห่งมีการจ้างพนักงานแทนการใช้ระบบให้เหมาะสมกับต้นทุน “ระบบโรงพยาบาล” ยกระดับการบริหารจัดการอย่างไรบ้าง ? ระบบโรงพยาบาลถือเป็น หัวใจสำคัญในการดำเนินงาน โดยเฉพาะ 'การสื่อสารภายในองค์กร' เพราะจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น ตามมาด้วยความรับผิดชอบของแพทย์และพยาบาลที่ต้องบริหารจัดการข้อมูลผู้ป่วยอย่างมหาศาล การนำระบบบริหารจัดการฯ เข้ามาปรับใช้ภายในสถานพยาบาลช่วยเสริมกำลังให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องสามารถบริหารจัดการข้อมูลผ่าน ‘ระบบ’ รองรับข้อมูลที่ซับซ้อนของผู้ป่วยในแต่ละแผนกได้ นอกจากนี้ ผู้บริหารยังสามารถบริหารทรัพยากรและภาพรวมขององค์กรได้ชัดยิ่งขึ้น ในการดึงข้อมูลภายในระบบฯ มาใช้ได้อย่างรวดเร็ว สร้างรายงานต่าง ๆ ตามมุมมองและข้อมูลที่ผู้บริหารต้องการ การพิจารณาและเปรียบเทียบระบบโรงพยาบาลจากผู้ให้บริการต่าง ๆ ในตลาด จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงความสะดวกของผู้ใช้งานเป็นหลักอย่างปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ความเข้ากันได้ของระบบ การออกแบบที่เหมาะสมกับสถานพยาบาลเป็นสำคัญ เพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องมีข้อผิดพลาดและข้อกังวลในการรักษาคนไข้น้อยที่สุดนั่นเอง การเลือกใช้ระบบโรงพยาบาลให้เหมาะสมกับธุรกิจสถานพยาบาล สิ่งสำคัญในการพิจารณาระบบของผู้ประกอบการสถานพยาบาลต่าง ๆ คือการเลือกระบบที่เหมาะสมกับขนาดและรูปแบบการให้บริการ แต่หากพิจารณาจากมุมมองของการใช้งานระบบ ไม่ว่าจะเป็น ความพร้อมของบุคลากร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ ฯลฯ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าคืออีกปัจจัยสำคัญหนึ่งที่องค์กรจะต้องเตรียมพร้อมไปกับการพิจารณาระบบด้วยเช่นกัน ผู้บริหารสถานพยาบาลจึงมีบทบาทสำคัญในการพิจารณาระบบฯ ที่สอดคล้องไปกับรูปแบบการดำเนินงาน และความพร้อมของบุคลากรและอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อยกระดับศักยภาพขององค์กรและบุคลากรให้คล่องตัวในการบริการผ่านการใช้ระบบบริหารจัดการสถานพยาบาลที่ได้ประสิทธิภาพและใช้งานได้อย่างยั่งยืนในอนาคต การเลือกระบบที่จะนำมาปรับใช้ในองค์กรได้ในระยะยาว สามารถแบ่งการพิจารณาออกเป็น 3 มุมมอง ดังนี้ ความสามารถของระบบ พิจารณาจากจำนวนโมดูลการใช้งาน ฟังก์ชันต่าง ๆ รวมไปถึงรูปแบบการจัดเก็บข้อมูล ฯลฯ ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาว่าระบบดังกล่าวสามารถรองรับความต้องการของสถานพยาบาลในระยะยาวหรือรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคตได้แท้จริงแค่ไหน ควบคู่ไปกับการประเมินงบประมาณขององค์กรเพื่อเพิ่มตัวเลือกให้กับผู้มีอำนาจตัดสินใจ (Decision Maker) เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานในระยะยาว ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบต้องมีผู้ใช้งาน การเลือกระบบที่มีรูปแบบการใช้งานที่เป็นมิตร และมีขั้นตอนการใช้งานที่ไม่ขาดตอน จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของบุคลากรต่าง ๆ อีกทั้งยังลดเวลาในการเรียนรู้ระบบอีกด้วย ระบบที่ได้รับการยอมรับ เนื่องจากสถานพยาบาลมีการจัดการข้อมูลที่อ่อนไหวและความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยอยู่เสมอ ระบบที่ได้มาตรฐานย่อมตามมาด้วยความเชื่อมั่นในการใช้งานและการลงทุนในระยะยาว อีกทั้งยังเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านธุรกิจในท้องตลาดที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความเสถียรของระบบ ป้องกันการเกิดภัยไซเบอร์ในสถานพยาบาลหรือการรั่วไหลของข้อมูลผู้ป่วย เมดคิวรี-แบ็คยาร์ด ผู้ให้บริการด้านระบบโรงพยาบาลแบบครบวงจร เมดคิวรี-แบ็คยาร์ด ผู้ผลิตและพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการธุรกิจหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงธุรกิจสถานพยาบาล ยกระดับการใช้งานระบบภายในสถานพยาบาลให้ราบรื่นและไร้รอยต่อจากทีมงานที่มีประสบการณ์และเข้าใจกระบวนการทำงานในระบบสาธารณสุข ออกแบบโซลูชันระบบหน้าบ้าน-หลังบ้านให้กับสถานพยาบาลในชื่อ MEDHIS และ HealthBiz ERP ที่สามารถเชื่อมต่อและดึงข้อมูลมาใช้จากฐานข้อมูลเดียวกัน (Centralized Data) ตอบโจทย์การดำเนินงานในสถานพยาบาลที่ข้อมูลต้องเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ให้การดำเนินงานตั้งแต่หน้าบ้านไปจนถึงหลังบ้านเป็นระบบเดียวกันอย่างแนบสนิท สนใจปรึกษาทีมงานเมดคิวรี-แบ็คยาร์ด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากผู้เชี่ยวชาญของ MEDcury ได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury #ระบบโรงพยาบาล #MEDHIS #HealthBiz
- มาตรฐาน HA JCI คืออะไร ? คำที่คุณต้องรู้ถ้าอยากเข้าใจระบบ HIS ให้มากขึ้น [EP.2]
หัวใจสำคัญของระบบ HIS นอกเหนือจากการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้กับธุรกิจสถานพยาบาลและลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์แล้ว เรื่องของการรับรอง มาตรฐานและความปลอดภัยของระบบก็เป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญของการนำไปใช้งานในสถานพยาบาลต่าง ๆ เพื่อให้กับผู้ให้บริการสามารถมอบบริการที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการได้ EP.1 ของ ซีรีส์ HealthTech 101 ได้พูดถึงคำย่อเบื้องต้นที่ใช้บ่อยในระบบ HIS ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น HIS, EMR, RBAC ฯลฯ สามารถอ่านบทความต่อได้ที่ มัดรวม 10 คำย่อในระบบ HIS ไว้ที่เดี่ยว [EP.1] ใน EP.2 เรายังคงอยู่กับคำย่อ (Acronyms) ที่เจาะลึกเกี่ยวกับมาตรฐาน การรับรองคุณภาพต่าง ๆ ภายในระบบสารสนเทศโรงพยาบาล ที่รู้ไว้ใช่ว่า…เมื่อเจอคำเหล่านี้ในภายหลังจะช่วยให้คุณเข้าใจระบบ HIS แบบไม่มีโป๊ะแน่นอน คำย่อในระบบ HIS พร้อมความหมาย HL7 (อ่านว่า เอช-แอล-เซเว่น) ย่อมาจากคำว่า Health Level 7 / Health Level Seven HL7 คือชุดมาตรฐานสากลที่ถูกพัฒนาโดย HL7 International ในประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพระหว่างระบบสารสนเทศต่าง ๆ ในสถานพยาบาล เปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย HL7 คือ ‘ภาษา’ หนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกลางในการสื่อสาร เพียงแต่ไม่ได้ใช้สื่อสารระหว่างมนุษย์ หากเป็นระบบคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เพื่อให้รูปแบบข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลเป็นไปในทิศทางและมาตรฐานเดียวกัน หากมองการใช้งานภายในสถานพยาบาลเพียงแห่งเดียวอาจไม่เห็นบทบาทที่สำคัญของการใช้ HL7 เท่าไหร่ แต่เมื่อพูดถึงประโยชน์สูงสุดของการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างสถานพยาบาล จะทำให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าการมีมาตรฐานอย่าง HL7 ช่วยให้ข้อมูลผู้ป่วยถูกส่งต่อได้ง่ายดายกว่ารูปแบบเดิม และสามารถสร้างความพึงพอใจในการใช้บริการของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การลดภาระในการขอประวัติการรักษา การลดความซ้ำซ้อนในการการลงทะเบียนผู้ป่วยในสถานพยาบาลแห่งใหม่ เป็นต้น สถานพยาบาลที่มีการนำชุดมาตรฐาน HL7 มาปรับใช้ จะสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วย อาทิ ข้อมูลผู้ป่วย ผลการตรวจวินิจฉัย ฯลฯ ระหว่างสถานพยาบาลที่ใช้มาตรฐานเดียวกันผ่านระบบสารสนเทศได้ เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาของเทคโนโลยีด้านการแพทย์ (Health Tech) และด้วยจุดเด่นของ HL7 ที่รองรับการพัฒนาและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานอยู่เสมอ เราจึงจะเห็น HL7 ในหลาย ๆ เวอร์ชันผ่านตาอยู่บ้าง อาทิ HL7 v2, HL7 v3, HL7 FHIR ฯลฯ HL7 FHIR คืออะไร ? HL7 FHIR หรือ Fast Healthcare Interoperability Resources คือมาตรฐานที่พัฒนาต่อยอดมาจาก HL7 ที่ถูกนำมาใช้และได้รับความนิยมมากขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย ด้วยจุดเด่นที่ตอบโจทย์ระบบสารสนเทศในยุคปัจจุบัน และมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพของการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพให้ง่ายและรวดเร็วขึ้นจากเดิม Health Link คือระบบเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างสถานพยาบาลที่ใช้มาตรฐานข้อมูลระดับสากลอย่าง HL7 FHIR เกิดจากความร่วมมือของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงสาธารณสุขไทย เพื่อผลักดันการใช้งานระบบเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างสถานพยาบาล หรือรู้จักกันในชื่อระบบ HIE (Health Information Exchange) ให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย ปัจจุบันมีสถานพยาบาลที่เข้าร่วมระบบ Health Link ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมากกว่า 400 แห่ง (ขอบคุณข้อมูลจาก https://healthlink.go.th/ ) DICOM (อ่านว่า ได-คอม) ย่อมาจากคำว่า Digital Imaging and Communications in Medicine DICOM คือมาตรฐานสากลที่ใช้ในการจัดเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูลประเภทผลภาพทางการแพทย์ (Medical Images) ที่ได้จากเครื่องมือทางการแพทย์ในรูปแบบดิจิทัลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาพเอกซเรย์ (X-ray) ภาพซีทีสแกน (CT Scan) เอ็มอาร์ไอ (MRI) หรือภาพอัลตราซาวด์ (Ultrasound) ฯลฯ อย่างที่รู้กันดีว่าส่วนใหญ่แล้วเครื่องมือแพทย์ในสถานพยาบาลต่าง ๆ มาจากผู้ผลิตและประเทศต้นทางที่แตกต่างกันออกไป เพื่อลดข้อจำกัดของการใช้งานต่าง ๆ จากเครื่องมือแพทย์เหล่านี้ มาตรฐาน DICOM จึงเหมือนภาษาสากลเพื่อให้ผลภาพทางการแพทย์จากเครื่องมือแพทย์ที่ต่างกันนั้นสามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้ ประโยชน์ของการใช้มาตรฐาน DICOM ที่เข้ามาช่วยลดข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็น ความแตกต่างของเครื่องมือแพทย์แต่ละชนิด ความแตกต่างของระบบหรือซอฟต์แวร์ของสถานพยาบาล เช่น ระบบ HIS พื้นที่และรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลภาพทางการแพทย์ ระยะเวลาของการวินิจฉัยและการรักษา การส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยระหว่างสถานพยาบาล การนำมาตรฐาน DICOM มาปรับใช้ภายในระบบสารสนเทศของสถานพยาบาล จะมีการกำหนดรูปแบบการจัดเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูลภาพให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน ในการส่งต่อผลภาพทางการแพทย์ระหว่างแผนกภายในสถานพยาบาลเพื่อประโยชน์ของการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาพทางการแพทย์ระหว่างสถานพยาบาลได้สะดวกมากยิ่งขึ้น DICOM กับ PACS ทำงานร่วมกันอย่างไร ? ในบทความที่แล้ว เราได้พูดถึงความหมายของคำว่า PACS (Picture Archiving and Communication System) หรือระบบที่ใช้ในการเก็บภาพและการสื่อสารภาพถ่ายทางการแพทย์ในรูปแบบดิจิทัล อ่านบทความต่อได้ที่ PACS ย่อมาจากอะไร และมีความหมายอย่างไร ? PACS เปรียบได้เหมือนตู้เก็บเอกสารที่ใช้จัดเก็บข้อมูลภาพทางการแพทย์ต่าง ๆ ให้บุคลากรทางแพทย์สามารถเปิดดูหรือนำข้อมูลไปใช้ร่วมกันได้ง่ายขึ้นภายใต้ความปลอดภัยของฐานข้อมูลผู้ป่วย โดยมี DICOM เปรียบเสมือนแฟ้มเอกสารที่กำหนดรูปแบบการจัดเก็บ และการแสดงผลภาพทางการแพทย์จากเครื่องมือทางการแพทย์ต่าง ๆ ตามมาตรฐานที่กำหนดเอาไว้ ในระบบสารสนเทศของสถานพยาบาล PACS และ DICOM จึงมีความสำคัญไม่แพ้กัน และจำเป็นต้องอาศัยจุดเด่นของแต่ละตัวเพื่อให้ข้อมูลภาพทางการแพทย์จากเครื่องมือต่าง ๆ สามารถนำไปใช้งานร่วมกันภายในสถานพยาบาลและระหว่างสถานพยาบาลได้อย่างราบรื่นนั่นเอง ISMS (อ่านว่า ไอ-เอส-เอ็ม-เอส) ย่อมาจากคำว่า Information Security Management System ISMS คือระบบบริหารจัดการความมั่นคงและความปลอดภัยของข้อมูลสุขภาพ ที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ของข้อมูลภายในสถานพยาบาล และทำให้สถานพยาบาลมั่นใจว่าข้อมูลจะถูกรักษาภายใต้ความปลอดภัยและการจัดเก็บอย่างเป็นระบบ ความปลอดภัยของข้อมูลผู้ป่วยในวงการสุขภาพและวิชาชีพแพทย์นั้นมีความละเอียดอ่อนและเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วย รวมทั้งความมั่นคงและชื่อเสียงขององค์กร ทำให้บทบาทของระบบ ISMS ภายในสถานพยาบาลจึงมีความสำคัญเพื่อช่วยให้ข้อมูลส่วนบุคคลต่าง ๆ ได้รับการปกป้องจากการเข้าถึงและการเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งการสูญหายของข้อมูล การโจมตีทางไซเบอร์ ฯลฯ นอกจากนี้ การนำระบบ ISMS มาปรับใช้ไม่ว่าจะเป็นสถานพยาบาลขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ตามนั้น จำเป็นต้องดำเนินตามระเบียบให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ISO 27001 เพื่อให้ระบบ ISMS สามารถจัดตั้ง บำรุงรักษา และปรับปรุงบริหารจัดการความมั่นคงและความปลอดภัยของข้อมูลได้อย่างต่อเนื่อง ISMS และมาตรฐาน ISO 27001 เชื่อมโยงกันอย่างไร ? ให้เข้าใจง่าย ๆ ระบบ ISMS คือระบบบริหารจัดการหนึ่งที่มี ISO 2700 กำหนดมาตรฐานของระบบ ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพากันและกันเพื่อให้ระบบการจัดการความมั่นคงและความปลอดภัยของข้อมูลสุขภาพเป็นไปได้อย่างมีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ สถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองระบบ ISMS ตามมาตรฐาน ISO 27001 จะสามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ว่าภายในสถานพยาบาลมีการปกป้องข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างรัดกุม และข้อมูลมีความพร้อมสำหรับการนำไปใช้งานได้ในทันที รวมทั้งสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสุขภาพหรือกฎหมายด้านข้อมูลส่วนบุคคลอย่าง PDPA ที่ถูกให้ความสำคัญในประเทศไทย เพื่อคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลของผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลส่วนบุคคล ประวัติการรักษา ผลการตรวจวินิจฉัย ภายใต้การยินยอมในการเก็บข้อมูลจากผู้ป่วยตามสิทธิของแต่ละบุคคล ICD (อ่านว่า ไอ-ซี-ดี) ย่อมาจากคำว่า International Classification of Diseases ICD หรือบัญชีจำแนกโรคระหว่างประเทศที่เป็นมาตรฐานสากลในการกำหนดรหัสเฉพาะให้กับแต่ละโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้สถานพยาบาลทั่วโลกสามารถบันทึกข้อมูลสุขภาพ เพื่อใช้สื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพต่าง ๆ ได้อย่างเท่าทันเหตุการณ์และมีประสิทธิภาพภายใต้การใช้มาตรฐาน ICD ร่วมกัน รหัส ICD ที่นิยมใช้ภายในสถานพยาบาลและอาจจะคุ้นตากันอยู่บ้างในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น รหัส ICD-9, ICD-10 หรือ ICD-11 ที่จะมีการปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอเพื่อสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางการแพทย์ในด้านต่าง ๆ โดยรหัสดังกล่าวจะถูกนำมาใช้เป็นมาตรฐานในการบันทึกข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยในระบบ ที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบสารสนเทศโรงพยาบาลหรือที่รู้จักกันในระบบ HIS นอกจากนี้ภายในสถานพยาบาลยังใช้รหัส ICD เพื่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น บริษัทประกันสุขภาพ เพื่อให้การสื่อสารและการเรียกเก็บค่าบริการเป็นไปอย่างถูกต้องตามโรคหรืออาการที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษานั่นเอง จุดเด่นของรหัส ICD คือการบันทึกข้อมูลให้เป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถสื่อสารระหว่างกันได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน สถานพยาบาลที่มีการบันทึกข้อมูลสุขภาพโดยใช้มาตรฐาน ICD จะช่วยให้การเก็บรวบรวมข้อมูลทางสถิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพ สามารถนำมาเปรียบเทียบและวิเคราะห์ และวิจัยทางการแพทย์ร่วมกันได้ โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพระหว่างสถานพยาบาลที่จะเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ป่วยเมื่อต้องย้ายโรงพยาบาลด้วยเช่นกัน EMRAM (อ่านว่า เอ็ม-แรม) ย่อมาจากคำว่า Electronic Medical Record Adoption Model คือมาตรฐานการประเมินระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ หรือนิยมเรียกกันว่ามาตรฐาน EMRAM ที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก เกิดจากองค์กรไม่แสวงผลกำไร HIMSS Analytics เพื่อประเมินระดับความก้าวหน้าของระบบ EMR (Electronic Medical Record) ในการนำมาใช้ภายในสถานพยาบาล โดยมีการแบ่งตั้งแต่ระดับ 0 ไปจนถึงระดับ 7 ที่เป็นระดับสูงสุดหรือรู้จักกันในชื่อมาตรฐาน EMRAM Stage 7 นั่นเอง EMRAM ถือเป็นแนวทางในการพัฒนาความพร้อมของระบบ EMR ให้กับสถานพยาบาลได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันของธุรกิจสถานพยาบาลมุ่งเน้นการดำเนินงานสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบและยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ให้ทันสมัยในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น การให้บริการทางการแพทย์หรือการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ก็ตาม ระดับ (Stage) ของมาตรฐาน EMRAM ทั้งหมด 8 ระดับถูกออกแบบมาเพื่อประเมินระดับความพร้อมของระบบ EMR ภายในสถานพยาบาล โดยแต่ละสถานพยาบาลมีเป้าหมายสูงสุดในการได้รับมาตรฐานในระดับ 7 ที่แสดงถึงความพร้อมของการใช้ EMR ในระดับสูงสุดและได้ยอมรับในระดับสากล โดยบ่งบอกถึงความพร้อม เช่น การเป็นโรงพยาบาลไร้กระดาษ (Paperless Hospital) ในทุก ๆ ขั้นตอนของการให้บริการ เป็นต้น มาตรฐาน EMRAM จึงถือเป็นเป้าหมายของสถานพยาบาลต่าง ๆ เพื่อเพิ่มเชื่อมั่นให้กับทั้งผู้ใช้บริการ บุคลากรทางการแพทย์ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับพันธมิตรและดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันสถานพยาบาลในประเทศไทยที่ถูกรับรองมาตรฐาน HIMSS Analytics EMRAM Stage 7 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้แก่ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ 1 และโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ เป็นต้น HIPAA (อ่านว่า เอช-ไอ-พี-เอ-เอ) ย่อมาจากคำว่า Health Insurance Portability and Accountability Act HIPAA หรือกฎหมายว่าด้วยการเคลื่อนย้ายและความรับผิดชอบในการประกันสุขภาพของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีเป้าหมายในการสร้างมาตรฐานระดับสากลเพื่อคุ้มครองข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ป่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยจะได้รับความคุ้มครองอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น การเปิดเผยข้อมูลโดยการยินยอมจากผู้ป่วย หรือการควบคุมและอนุญาตใช้ข้อมูลด้านสุขภาพเท่าที่จำเป็นและมีประโยชน์กับผู้ป่วยเท่านั้น สำหรับข้อมูลที่จะได้รับการคุ้มครองภายใต้ HIPAA นั้น มีเงื่อนไขคือการปรากฎการระบุถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วย โดยมีการกำหนดความหมายของของข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลที่จะได้รับการคุ้มครอง เช่น ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทร อีเมล รูปถ่าย ฯลฯ ที่สามารถระบุตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ จะได้รับการคุ้มครองทั้งสิ้น HIPAA เหมือนหรือต่างอย่างไรกับ PDPA ? ทั้ง HIPAA และ PDPA เป็นกฎหมายที่ต่างมีเป้าหมายในการปกป้องและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้การยินยอมจากบุคคลก่อนการเก็บข้อมูล โดย HIPAA เน้นการคุ้มครองข้อมูลด้านสุขภาพ ในขณะที่ PDPA นั้นครอบคลุมข้อมูลส่วนบุคคลในทุกประเภทไม่เพียงแต่วงการสุขภาพเท่านั้น โดยสถานพยาบาลในประเทศไทยที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยระหว่างประเทศกับทางสหรัฐอเมริกานั้น จำเป็นต้องปฏิบัติตามทั้ง PDPA ของประเทศไทยและ HIPAA เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวถูกออกแบบมาให้กับชาวสหรัฐฯ นั่นเอง เพื่อสร้างทั้งความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดี สถานพยาบาลและบุคลากรที่เกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องเข้าใจถึงความหมาย ขอบเขต และการใช้งานของกฎหมายเหล่านี้ ให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้องและคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลผู้ป่วยเป็นสูงสุด HA (อ่านว่า เอช-เอ) ย่อมาจากคำว่า Hospital Accreditation Hospital Accreditation หรือการรับรองคุณภาพโรงพยาบาล คือกระบวนการประเมินและรับรองคุณภาพของสถานพยาบาลโดยองค์กรภายนอกที่เป็นกลาง โดยอาศัยเกณฑ์มาตรฐานที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงบริบทและความต้องการของแต่ละประเทศ ทำให้ HA เป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพการบริการสุขภาพของประเทศ เพื่อกระตุ้นให้สถานพยาบาลพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยในการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในเกณฑ์สำคัญของ HA คือการจัดการระบบสารสนเทศ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการทำงานของโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็น การจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วย ระบบสื่อสารภายใน ความปลอดภัยของข้อมูล เป็นต้น โดยผลลัพธ์ที่ได้จากการพัฒนาคุณภาพเหล่านี้จะสร้างประโยชน์ให้กับทั้งผู้ป่วย บุคลากร และสถานพยาบาลภายใต้ความร่วมมือของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาปรับปรุง แก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้ประเมินเพื่อให้ได้ใบรับรอง HA ในที่สุด สถานพยาบาลที่ได้รับใบรับรอง HA จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ป่วยว่าจะได้รับการดูแลที่ปลอดภัยและมีคุณภาพสูง นอกจากนี้ การได้รับรอง HA ยังส่งเสริมให้บุคลากรในสถานพยาบาลมีความรู้ความสามารถและทักษะที่ทันสมัย และเพิ่มขีดความสามารในการแข่งขันในตลาดบริการสุขภาพอีกด้วย JCI (อ่านว่า เจ-ซี-ไอ) ย่อมาจากคำว่า Joint Commission International JCI คือมาตรฐานการรับรองด้านการดูแลผู้ป่วยและคุณภาพของสถานพยาบาลในระดับสากล เกิดจากองค์กรอิสระไม่แสวงหาผลกำไร The Joint Commission จากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีหน้าที่ในการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพและให้การรับรองมาตรฐานการดูแลผู้ป่วย ด้วยเกณฑ์มาตรฐานที่เข้มงวดและครอบคลุมทุกมิติของการดูแลผู้ป่วย รวมถึงมีกระบวนการประเมินที่โปร่งใส ทำให้สถานพยาบาลที่ได้รับการรับรอง JCI สามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้ป่วยได้ในระดับสากลได้ JCI ถูกกำหนดมาเพื่อให้สถานพยาบาลที่ได้การรับรองต้องมีการปรับปรุงระบบและกระบวนการทำงานอยู่เสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนดไว้ โดยมาตรฐาน JCI ครอบคลุมทุกมิติของการดูแลผู้ป่วย เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยในการเข้ารับบริการภายในสถานพยาบาล โดยมีเกณฑ์การประเมินทั้งหมด 2 หมวดหลัก ๆ คือ มาตรฐานที่เน้นผู้ป้วยเป็นศูนย์กลาง และมาตรฐานการจัดการสถานพยาบาล JCI และ HA เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ? JCI และ HA เป็นมาตรฐานที่ใช้ประเมินคุณภาพของโรงพยาบาลแต่มีลักษณะที่แตกต่างกัน โดย JCI เป็นมาตรฐานสากลที่มีเกณฑ์มาตรฐานที่เข้มงวดและครอบคลุมทุกมิติของการดูแลผู้ป่วย ในขณะที่ HA เป็นมาตรฐานที่พัฒนาขึ้นโดยแต่ละประเทศเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศนั้นๆ การขอรับรองทั้ง JCI และ HA สามารถช่วยยกระดับคุณภาพของสถานพยาบาลและสร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากลได้ แต่อย่างไรก็ตาม สถานพยาบาลจำเป็นต้องพิจารณาถึงทรัพยากรและความพร้อมขององค์กรอย่างรอบคอบ โดยอาจเริ่มจากการขอรับรอง HA ก่อน เนื่องจากเป็นมาตรฐานที่ใกล้เคียงกับบริบทของประเทศ และนำไปสู่การขอรับรอง JCI ในภายหลัง การวางแผนที่รอบคอบและการมีส่วนร่วมจากบุคลากรทุกระดับ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้นั่นเอง เข้าใจระบบ HIS ให้มากขึ้นอีกขั้นหรือยัง ? เป็นอย่างไรบ้างกับ 8 คำย่อที่คุณควรรู้หากอยากเข้าใจระบบ HIS ภายในสถานพยาบาล ซึ่งแน่นอนว่าคุณไม่จำเป็นต้องรู้จักหรือทำความเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งทุกคำ แต่เมดคิวรีเพียงมาบอกเล่าสู่กันฟัง และหวังว่ามันจะมีประโยชน์ต่อคนที่กำลังสนใจหรือกำลังค้นหาความหมายเบื้องต้นของคำเหล่านี้อยู่ไม่มากก็น้อย สำหรับ EP. ต่อไป เมดคิวรีจะพูดถึงระบบ HIS หรือระบบสารสนเทศต่าง ๆ ภายในสถานพยาบาลในแง่มุมไหน อย่าลืมติดตามและรับชมข่าวสารจากเราต่อไปในอนาคต ท่านใดที่สนใจปรึกษาระบบ MEDHIS และ MEDHIS Lite สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากผู้เชี่ยวชาญของ MEDcury ได้ที่ โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์) อีเมล : sales@medcury.health หรือกรอกแบบฟอร์มคลิกที่นี่ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น Facebook : facebook.com/medcury.health/ LinkedIn : linkedin.com/company/medcury YouTube : https://www.youtube.com/@MEDcury










![มาตรฐาน HA JCI คืออะไร ? คำที่คุณต้องรู้ถ้าอยากเข้าใจระบบ HIS ให้มากขึ้น [EP.2]](https://static.wixstatic.com/media/c0ea71_1098d0b610564e52b0c288ab95654f49~mv2.jpg/v1/fit/w_176,h_124,q_80,usm_0.66_1.00_0.01,blur_3,enc_auto/c0ea71_1098d0b610564e52b0c288ab95654f49~mv2.jpg)