top of page

ระบบโรงพยาบาลคืออะไร? กับความสำคัญในการดำเนินงานในโรงพยาบาล

  • MEDcury Team
  • 1 ก.ย.
  • ยาว 3 นาที
ระบบโรงพยาบาลคือระบบที่ช่วยให้สถานพยาบาลสามารถดำเนินงานได้ โดยแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบหลักคือ ระบบหน้าบ้าน ระบบหลังบ้าน และระบบเชื่อมต่อ API อื่น ๆ

“ระบบโรงพยาบาล” เปรียบเสมือนกลไกในขับเคลื่อนให้ธุรกิจโรงพยาบาลดำเนินไปได้อย่างครบวงจรตั้งแต่หน้าบ้านไปจนถึงหลังบ้าน เพื่อควบคุมการดำเนินงานในแต่ละส่วนงานหรือแผนกต่าง ๆ ในโรงพยาบาลให้เป็นไปอย่างเป็นระบบ แต่จะมีความจำเป็นและสำคัญต่อการดำเนินงานในโรงพยาบาลอย่างไรนั้น หาคำตอบทั้งหมดได้ในบทความนี้


Table of Contents


ระบบโรงพยาบาลคืออะไร ?

ระบบโรงพยาบาล (Hospital System) คือระบบที่ใช้ในการบริหารจัดการแผนกต่าง ๆ ให้ไปเป็นได้อย่างราบรื่น ทั้งการบริการทางการแพทย์ การจัดการทรัพยากร หรือการบริหารจัดการภายในโรงพยาบาล ฯลฯ 


หากอธิบายให้เห็นภาพ ตั้งแต่คนไข้เดินเข้ามาใช้บริการ ชำระเงิน รับยา และออกจากโรงพยาบาล ในแต่ละขั้นตอนที่กล่าวมานี้จะต้องมีระบบรองรับให้โรงพยาบาลสามารถบริการผู้ป่วยไปพร้อมกับการดำเนินธุรกิจได้นั่นเอง


ระบบโรงพยาบาลมีบทบาทในการควบคุมการดำเนินงานในแต่ละส่วน ตามมาตรฐานขั้นตอนการทำงาน (SOP) ที่ถูกออกแบบกระบวนการใช้งานให้เหมาะสมกับขนาดและความต้องการของสถานพยาบาลแต่ละแห่ง


ขนาดของโรงพยาบาลมีกี่ประเภท?

การเลือกใช้ระบบในโรงพยาบาลมักขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่าง ๆ ประกอบกัน โดยพิจารณาได้จากหลายปัจจัย อาทิ ขนาด จำนวนเตียง กระบวนการจัดการ (Operation Flow) และขนาดของธุรกิจโรงพยาบาล โดยสามารถแบ่งขนาดของธุรกิจออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ 


  1. สถานพยาบาลประเภท OPD

หรือสถานพยาบาลที่บริการเฉพาะผู้ป่วยนอกเท่านั้น เช่น คลินิกเวชกรรม คลินิกทันตกรรม คลินิกสุขภาพจิต โรงพยาบาส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เป็นต้น


  1. สถานพยาบาลประเภท IPD

หรือสถานพยาบาลที่รองรับผู้ป่วยค้างคืนหรือแอดมิต (Admit) ได้ เช่น โรงพยาบาลเฉพาะทาง โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน เป็นต้น


คำนิยามของระบบโรงพยาบาลจึงไม่จำกัดเพียงแค่การใช้งานภายในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่รวมถึงสถานพยาบาลอย่าง “คลินิก” ที่ให้บริการในรูปแบบ OPD ด้วยเช่นกัน



องค์ประกอบหลักของระบบโรงพยาบาลมีอะไรบ้าง ?

ระบบโรงพยาบาลแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบหลักตามวัตถุประสงค์และความจำเป็นของการใช้งาน เพื่อกำหนดกระบวนการดำเนินงานให้สนับสนุนการทำงานของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ 


สถานพยาบาลแต่ละแห่งจะมีความสามารถในการนำระบบฯ เข้ามาปรับใช้มากน้อยเพียงใดนั้น มักขึ้นอยู่กับการพิจารณาทรัพยากรและประเมินงบประมาณที่มีอยู่ ตั้งแต่ระดับแผนกไปจนถึงภาพรวมของธุรกิจ โดยในบทความนี้จะจำแนกองค์ประกอบของระบบโรงพยาบาลตามกระบวนการจัดการ (Hospital Operation Flow) ภายในโรงพยาบาลทั่วไปเป็นหลัก


  1. ระบบหน้าบ้าน (Front Office Systems)

ระบบหน้าบ้านของสถานพยาบาล คือระบบที่รองรับการใช้บริการของผู้ป่วยภายในสถานพยาบาลตั้งแต่เดินเข้ามาใช้บริการ ชำระเงิน และเดินออกไปหลังการใช้บริการเสร็จเรียบร้อย ช่วยให้การดำเนินงานมีความเสถียร และลดภาระบุคลากรทางการแพทย์


ภาพการเดินทางมาใช้บริการของผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล ตั้งแต่การเดินเข้ามาลงทะเบียนผู้ป่วย ตรวจสุขภาพเบื้องต้น การวินิจฉัยจากแพทย์ ชำระเงิน รับยา และเดินออกจากโรงพยาบาล ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดนี้ต้องมีระบบโรงพยาบาลที่สนับสนุนการทำงานและการเก็บข้อมูลผ่านระบบได้ด้วยนั่นเอง

ระบบหน้าบ้านของสถานพยาบาล อาจเรียกได้ว่าคือ “ระบบบริหารจัดการสถานพยาบาล” ที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง ที่สามารถแบ่งรูปแบบของระบบฯ ตามขนาดและรูปแบบการให้บริการของสถานพยาบาล ดังนี้

 

2 รูปแบบหลักของระบบหน้าบ้านสถานพยาบาล


  • ระบบ CIS (Clinic Information System)

ระบบบริหารจัดการคลินิกที่เน้นการให้บริการสำหรับคลินิกที่บริการเฉพาะผู้ป่วยนอก (OPD) ด้วยจุดเด่นของระบบที่เน้นมอบประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ใช้บริการ (Patient-Centric) จากการแข่งขันของธุรกิจคลินิกในปัจจุบัน 


โดยในประเทศไทยมีผู้ให้บริการดังกล่าว ยกตัวอย่าง โปรแกรม DoctorEase จากบริษัท เอทิซ อินโนเวชั่น จำกัด เป็นต้น


  • ระบบ HIS (Hospital Information System)

คือระบบสนสนเทศโรงพยาบาลที่ครอบคลุมการบริหารจัดการแผนกต่าง ๆ ภายในโรงพยาบาล เชื่อมต่อข้อมูล ประสานงานระหว่างแผนก และค้นหาข้อมูลเพื่อนำไปใช้งานได้รวดเร็วขึ้น


โดยในประเทศไทยมีผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ระบบ HIS ในตลาดสำหรับภาครัฐและเอกชน ยกตัวอย่าง ระบบ MEDHIS จากบริษัท เมดคิวรี จำกัด และระบบ HOSxP จากบริษัท บางกอก เมดิคอล ซอฟต์แวร์ จำกัด เป็นต้น


ระบบบริหารจัดการสถานพยาบาลทั้ง 2 ระบบนี้ จะถูกเชื่อมต่อข้อมูลผู้ป่วยกับแผนกต่าง ๆ ให้บริหารจัดการได้อย่างคล่องตัว ผ่านการใช้งานฟีเจอร์ (Features) และโมดูล (Modules) ที่แตกต่างกันออกไปตามความต้องการของสถานพยาบาลนั้น ๆ


โมดูลต่าง ๆ ภายในโรงพยาบาลหรือคลินิก จะเกิดจากการออกแบบและพิจารณาความสามารถในการให้บริการ เพื่อสามารถกำหนดรูปแบบการใช้งาน จำนวนโมดูล ฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้เหมาะสมและไม่ออกแบบจนเกินความจำเป็นในการใช้งาน

อย่างไรก็ตาม สถานพยาบาลบางแห่งไม่จำเป็นต้องมีฟีเจอร์หรือจำนวนโมดูลที่ครบครันเสมอไป ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้งาน ที่ต้องพิจารณาความเหมาะสมจากการนำเสนอขายของผู้ให้บริการระบบฯ ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดกับการดำเนินงานในภาพรวมได้


ยกตัวอย่าง ระบบ MEDHIS (ระบบบ HIS ที่พัฒนาต่อยอดมาจากระบบ Centrix) จากบริษัท เมดคิวรี จำกัด ด้วยจำนวนโมดูลที่ครบครันมากถึง 21 โมดูลตามมาตรฐานการดำเนินงานของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ที่ครอบคลุมตั้งแต่การบริการ OPD และ IPD อย่างครบวงจร


EMR ตัวแปรสำคัญของระบบหน้าบ้านของสถานพยาบาล

ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Medical Record) ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์บันทึกการรักษาของผู้ป่วยเข้าสู่ระบบสารสนเทศ ค้นหาข้อมูลสำหรับการดำเนินงานภายในระบบหน้าบ้านของสถานพยาบาล และเชื่อมต่อระบบอื่น ๆ ในรูปแบบดิจิทัลได้อย่างราบรื่นและเรียลไทม์มากขึ้น 


ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์หรือ EMR นั้น ช่วยให้แพทย์ พยาบาล สามารถบันทึกข้อมูลสุขภาพต่าง ๆ ของผู้ป่วยผ่านอุปกรณ์อิเล็๋กทรอนิกส์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลไปยังแผนกต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว เป็นประโยชน์ต่อการรักษาผู้ป่วยและการตัดสินใจของแพทย์

แน่นอนว่าการนำระบบสารสนเทศสักหนึ่งระบบเข้ามาใช้งานภายในสถานพยาบาลจำเป็นต้องมีมาตรฐานสากลในการชี้วัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาในโรงพยาบาลให้กับผู้ใช้งานและผู้ใช้บริการด้วยเช่นกัน


ยกตัวอย่าง มาตรฐาน EMRAM หรือ Electronic Medical Record Adoption Model ที่หลาย ๆ โรงพยาบาลในประเทศไทยได้รับการรับรององค์กรด้านการรับรองมาตรฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของโรงพยาบาล HIMSS (Healthcare Information and Management Systems Society) ที่จัดลำดับความพร้อมของระบบสารสนเทศตั้งแต่ระดับ Stage 0-7 


โดยสถานพยาบาลในประเทศไทยที่ได้การรับรองในระดับ Stage 7 อาทิ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ และโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ เป็นต้น


มาตรฐาน EMRAM Stage 7 ถือเป็นลำดับที่สูงที่สุดที่มีการกำหนดไว้จากองค์กร HIMSS โดยสื่อให้เห็นว่าโรงพยาบาลมีมาตรฐานของการใช้ระบบสารสนเทศในทุก ๆ มิติของการดำเนินงาน

ทางเลือกของระบบโรงพยาบาลยุคใหม่

ปัจจุบันสถานพยาบาลมักต้องการระบบบริหารจัดการที่ยืดหยุ่นสำหรับการขยายธุรกิจ และช่วยลดต้นทุนของการประกอบกิจการมากที่สุด โดยรูปแบบของระบบที่นิยมมากขึ้นและอาจเป็นตัวเลือกหลักของหลาย ๆ สถานพยาบาล คือการติดตั้งระบบแบบ Web-based และ Cloud-based อธิบายเข้าใจง่าย ๆ ดังนี้


  • Web-based

เรียกว่าเว็บเบส คือรูปแบบการเข้าถึงระบบ (Access Model) ที่สามารถเข้าถึงผ่านเว็บบราวเซอร์ (Web Browser) โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ลงอุปกรณ์นั้น ๆ


ระบบเว็บเบสจะช่วยบุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูลล่าสุดของผู้ป่วยได้จากทุก ๆ อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แท็บเล็ต หรือสมาร์ตโฟน ฯลฯ ยกตัวอย่างเช่น พยาบาลค้นหาข้อมูลของผู้ป่วยผ่านระบบ EMR บนอุปกรณ์แท็บแล็ต เป็นต้น


การใช้งานภายในสถานพยาบาลที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แท็บเล็ต ที่ต้องมีความต่อเนื่องในการใช้งาน หรือการใช้งานที่ง่าย ทำให้ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ออกแบบการใช้งานให้มีหน้าตาของ Responsive Design ที่สามารถเปิดโปรแกรมการใช้งานได้แบบเสถียร พร้อมทั้งการใช้งานแบบ Web-based ที่ไม่จำเป็นต้องลงโปรแกรมในเครื่อง เพียงแค่มีเว็บบราวเซอร์ก็เพียงพอ

  • Cloud-based

คือหนึ่งในรูปแบบการประมวลผล (Computing Model) มีจุดเด่นของการปรับขนาดการใช้งานตามขนาดธุรกิจของสถานพยาบาล (Pay-as-you-go) และเข้าถึงข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ด้วยเช่นกัน


คลาวด์เบสถือเป็นหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยให้สถานพยาบาลสามารถลดต้นทุนด้านงบประมาณ เมื่อเทียบกับตัวเลือกของการติดตั้งแบบ On-premise ที่จำเป็นต้องมีการจัดซื้อฮาร์ดแวร์ ห้องเซิร์ฟเวอร์ บุคลากรที่เชี่ยวชาญ ฯลฯ ในการบำรุงรักษา และต้นทุนของการรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เมื่อเทียบกับการบริหารจัดการโดยผู้ให้บริการคลาวด์


Web-based และ Cloud-based ไม่จำเป็นต้องติดตั้งคู่กันเสมอไป และการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ไม่ได้มีข้อเสียเปรียบไปมากกว่าเช่นกัน โดยขึ้นอยู่กับรูปแบบการดำเนินงาน งบประมาณ และโครงสร้างของสถานพยาบาลเพื่อพิจารณาตัวเลือกของการใช้งานและแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงระบบสถานพยาบาลในอนาคต


คลาวด์เบสถือเป็นหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยให้สถานพยาบาลสามารถลดต้นทุนด้านงบประมาณ เมื่อเทียบกับตัวเลือกของการติดตั้งแบบ On-premise ที่จำเป็นต้องมีการจัดซื้อฮาร์ดแวร์ ห้องเซิร์ฟเวอร์ บุคลากรที่เชี่ยวชาญ ฯลฯ ในการบำรุงรักษา และต้นทุนของการรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เมื่อเทียบกับการบริหารจัดการโดยผู้ให้บริการคลาวด์

สรุปแล้ว ระบบบริหารจัดการสถานพยาบาลคือตัวช่วยในการจัดการข้อมูลหน้าบ้านของสถานพยาบาลในแต่ละแผนก ให้อยู่ภายในระบบเดียวกัน ยกระดับการจัดเก็บข้อมูลให้กลายเป็นรูปแบบดิจิทัล (Digitization) ที่เชื่อมต่อข้อมูลเข้ากับระบบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบหลังบ้าน (ERP) อุปกรณ์ทางการแพทย์ (ioT) หรือระบบการแพทย์อื่น ๆ เพื่อเพิ่มขีดจำกัดในการดำเนินงานภายในสถานพยาบาล



  1. ระบบหลังบ้าน (Back Office Systems)

ระบบหลังบ้านของสถานพยาบาลมีหน้าที่รองรับการดำเนินงานที่เชื่อมต่อข้อมูลจากระบบหน้าบ้านอย่างระบบ HIS มีเป้าหมายในการบริหารจัดการแต่ละแผนกให้เชื่อมต่อฐานข้อมูลเดียวกันได้ (Centralized Data) ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญของการดำเนินงานในสถานพยาบาล ไม่ว่าจะเป็น การคลัง การจัดซื้อ การบริหารทรัพยากรบุคคล การเงินการบัญชี ฯลฯ


ระบบ ERP สำหรับธุรกิจ Healthcare

ระบบบริหารจัดการทรัพยากรหรือระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ภายในสถานพยาบาลมักเกี่ยวข้องกับแผนกต่าง ๆ อาทิ การจัดการสินค้าคงคลัง การจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ การเงินและการบัญชี การบริหารทรัพยากรบุคคล ฯลฯ


ด้วยรูปแบบของสถานพยาบาลการเบิกจ่ายเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และจำนวนของสินค้าคงคลังที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ปฎิเสธไม่ได้ว่าการเลือกระบบหลังบ้านของสถานพยาบาลต้องพิจารณาจากระบบที่เชี่ยวชาญในธุรกิจ Healthcare โดยเฉพาะ


ในสถานพยาบาลมีการเบิกจ่ายยาอยู่สม่ำเสมอ ทำให้การเชื่อมต่อระบบหน้าบ้านและระบบหลังบ้านจำเป็นต้องเชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อและสามารถอัปเดตข้อมูลที่ชัดเจน เพื่ออัปเดตจำนวนคลังให้กับระบบหน้าบ้าน และการตัดสินค้าคงคลังเพื่อประเมินการจัดซื้อในอนาคตของระบบหลังบ้านนั่นเอง

การเชื่อมต่อระบบ HIS และ ERP ในสถานพยาบาล

การเชื่อมต่อระบบหน้าบ้านและระบบหลังบ้านภายในโรงพยาบาลที่เสถียรนั้น คือการสั่งจ่ายยาโดยแพทย์และเภสัชกรผ่านระบบ HIS เพื่อดำเนินการตัดสินค้าคงคลัง และการลงบัญชีให้เป็นไปอย่างถูกต้องและแม่นยำในระบบ ERP 


นอกจากการพิจารณาระบบโรงพยาบาลที่ความเชี่ยวชาญในธุรกิจ Healthcare แล้ว ยังสามารถพิจารณาการคัดเลือกระบบจาก 3 ปัจจัย ดังนี้


  1. ความเสถียรของการเชื่อมต่อระบบ (Systems Integration)

ระหว่างระบบหน้าบ้านอย่าง HIS และระบบหลังบ้าน ERP ให้ข้อมูลเชื่อมต่อได้อย่างไร้รอยต่อมากที่สุด 


  1. ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจ Healthcare

ในการให้คำปรึกษา วิเคราะห์สภาพแวดล้อมองค์กรได้อย่างครอบคลุม และทีมงานติดตั้งระบบพร้อมบริการหลังการติดตั้งให้กับธุรกิจ Healthcare อย่างใกล้ชิด


  1. ความพร้อมของทรัพยากร

ไม่ว่าจะเป็น เครื่องมือทางการแพทย์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ บุคลากร ให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ


การเชื่อมแบบไร้รอยต่อระหว่าง 2 ระบบนี้ถือเป็นเรื่องท้าทายสำหรับหลาย ๆ โรงพยาบาล โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งด้านงบประมาณ ความพร้อมของบุคลากร และความสามารถในการค้นหาบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ ฯลฯ ทดแทนวิธีการนับและตัดสินค้าคงคลังนอกเหนือการใช้ระบบที่อาจนำมาสู่การทุจริตและเกิดความผิดพลาดได้ง่าย


การปรับใช้ระบบ ERP กับธุรกิจโรงพยาบาลจึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจและต่อยอดจากขนาดของธุรกิจของโรงพยาบาลได้ตั้งแต่คลินิกผู้ป่วยนอก (OPD Clinic) ไปจนถึงสถานพยาบาลขนาดใหญ่


ยกตัวอย่าง ระบบ HealthBiz ERP จากบริษัท แบ็คยาร์ด จำกัด พัฒนาระบบ ERP เพื่อเจาะกลุ่มตลาดสถานพยาบาล โดยเชื่อมเข้ากับระบบ MEDHIS ของบริษัท เมดคิวรี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ


HealthBiz ERP เหมาะสำหรับโรงพยาบาลที่กำลังมองหาระบบ ERP ที่เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาและประสบการณ์ในการบริหารจัดการทรัพยากรภายในโรงพยาบาล พร้อมตัวเลือกของการติดตั้งระบบหน้าบ้านของโรงพยาบาลจากผู้ให้บริการเดียวกันอย่างระบบ MEDHIS ที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นในการติดตั้งและความมั่นใจในการใช้งานควบคู่กับระบบอื่น ๆ ภายในสถานพยาบาลให้ไร้รอยต่อได้อย่างแท้จริง


HealthBiz ERP คือระบบหลังบ้านของสถานพยาบาล ที่ช่วยให้งานหลังบ้านกลายเป็นเรื่องง่าย ด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อระบบหน้าบ้านของสถานพยาบาลอย่าง HIS ได้อย่างไร้รอยต่อ

  1. ระบบสนับสนุนอื่น ๆ (Support System)

คือระบบสนับสนุนที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้สถานพยาบาลโดยเฉพาะผู้ป่วย ตอบโจทย์การให้บริการที่มากกว่าแค่การรักษา และเพิ่มความพึงพอใจในการใช้บริการแก่ผู้ป่วย ตัวอย่างเช่น 


  • Telehealth หรือ Telemedicine

ที่ช่วยให้การบริการทางการแพทย์มีประสิทธิภาพมากขึ้นและไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในโรงพยาบาล ลดช่องว่างให้ผู้ป่วยใกล้ชิดการดูแลสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แอปพลิเคชันผู้ป่วย อุปกรณ์พกพาทางการแพทย์ ฯลฯ


  • ระบบ CRM (Customer Relationship Management)

ที่ช่วยยกระดับการดูแลผู้ป่วยได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นผ่านการช่องทางการติดต่อกับผู้ป่วย วิเคราะห์พฤติกรรมของการใช้บริการ และการประเมินความพึงพอใจหลังการใช้บริการ เป็นต้น


ยกตัวอย่าง โรงพยาบาลเอกชนนำระบบ CRM เข้ามาปรับใช้ ช่วยให้โรงพยาบาลสามารถบริหารจัดการข้อมูลการใช้บริการของผู้ป่วย ในการเสนอขายผลิตภัณฑ์หรือแพ็กเกจสุขภาพแบบ Personalized ที่ช่วยตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคลได้อย่างตรงจุด


โดยระบบดังกล่าวขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้งาน เนื่องจากอาจตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้โรงพยาบาลหลาย ๆ แห่งมีการจ้างพนักงานแทนการใช้ระบบให้เหมาะสมกับต้นทุน


ภาพการใช้งานสมาร์ทโฟนที่สามารถ Video Conference กับแพทย์แบบทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งเป็นจุดเด่นของการนำ Telemedicine มาปรับใช้กับผู้ป่วยของสถานพยาบาล เพื่อสามารถให้บริการอย่างใกล้ชิดมากขึ้น

 “ระบบโรงพยาบาล” ยกระดับการบริหารจัดการอย่างไรบ้าง ? 

ระบบโรงพยาบาลถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงาน โดยเฉพาะ 'การสื่อสารภายในองค์กร' เพราะจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น ตามมาด้วยความรับผิดชอบของแพทย์และพยาบาลที่ต้องบริหารจัดการข้อมูลผู้ป่วยอย่างมหาศาล 


การนำระบบบริหารจัดการฯ เข้ามาปรับใช้ภายในสถานพยาบาลช่วยเสริมกำลังให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องสามารถบริหารจัดการข้อมูลผ่าน ‘ระบบ’ รองรับข้อมูลที่ซับซ้อนของผู้ป่วยในแต่ละแผนกได้


นอกจากนี้ ผู้บริหารยังสามารถบริหารทรัพยากรและภาพรวมขององค์กรได้ชัดยิ่งขึ้น ในการดึงข้อมูลภายในระบบฯ มาใช้ได้อย่างรวดเร็ว สร้างรายงานต่าง ๆ ตามมุมมองและข้อมูลที่ผู้บริหารต้องการ


การพิจารณาและเปรียบเทียบระบบโรงพยาบาลจากผู้ให้บริการต่าง ๆ ในตลาด จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงความสะดวกของผู้ใช้งานเป็นหลักอย่างปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ความเข้ากันได้ของระบบ การออกแบบที่เหมาะสมกับสถานพยาบาลเป็นสำคัญ เพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องมีข้อผิดพลาดและข้อกังวลในการรักษาคนไข้น้อยที่สุดนั่นเอง


หน้าที่ของผู้บริหารหรือผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลในการพิจารณาระบบโรงพยาบาลที่ดีและสามารถใช้งานได้ในระยะยาว

การเลือกใช้ระบบโรงพยาบาลให้เหมาะสมกับธุรกิจสถานพยาบาล

สิ่งสำคัญในการพิจารณาระบบของผู้ประกอบการสถานพยาบาลต่าง ๆ คือการเลือกระบบที่เหมาะสมกับขนาดและรูปแบบการให้บริการ แต่หากพิจารณาจากมุมมองของการใช้งานระบบ ไม่ว่าจะเป็น ความพร้อมของบุคลากร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ ฯลฯ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าคืออีกปัจจัยสำคัญหนึ่งที่องค์กรจะต้องเตรียมพร้อมไปกับการพิจารณาระบบด้วยเช่นกัน


ผู้บริหารสถานพยาบาลจึงมีบทบาทสำคัญในการพิจารณาระบบฯ ที่สอดคล้องไปกับรูปแบบการดำเนินงาน และความพร้อมของบุคลากรและอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อยกระดับศักยภาพขององค์กรและบุคลากรให้คล่องตัวในการบริการผ่านการใช้ระบบบริหารจัดการสถานพยาบาลที่ได้ประสิทธิภาพและใช้งานได้อย่างยั่งยืนในอนาคต 


การเลือกระบบที่จะนำมาปรับใช้ในองค์กรได้ในระยะยาว สามารถแบ่งการพิจารณาออกเป็น 3 มุมมอง ดังนี้


  1. ความสามารถของระบบ

พิจารณาจากจำนวนโมดูลการใช้งาน ฟังก์ชันต่าง ๆ รวมไปถึงรูปแบบการจัดเก็บข้อมูล ฯลฯ ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาว่าระบบดังกล่าวสามารถรองรับความต้องการของสถานพยาบาลในระยะยาวหรือรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคตได้แท้จริงแค่ไหน ควบคู่ไปกับการประเมินงบประมาณขององค์กรเพื่อเพิ่มตัวเลือกให้กับผู้มีอำนาจตัดสินใจ (Decision Maker)


  1. เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานในระยะยาว

ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบต้องมีผู้ใช้งาน การเลือกระบบที่มีรูปแบบการใช้งานที่เป็นมิตร และมีขั้นตอนการใช้งานที่ไม่ขาดตอน จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของบุคลากรต่าง ๆ อีกทั้งยังลดเวลาในการเรียนรู้ระบบอีกด้วย


  1. ระบบที่ได้รับการยอมรับ

เนื่องจากสถานพยาบาลมีการจัดการข้อมูลที่อ่อนไหวและความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยอยู่เสมอ ระบบที่ได้มาตรฐานย่อมตามมาด้วยความเชื่อมั่นในการใช้งานและการลงทุนในระยะยาว


อีกทั้งยังเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านธุรกิจในท้องตลาดที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความเสถียรของระบบ ป้องกันการเกิดภัยไซเบอร์ในสถานพยาบาลหรือการรั่วไหลของข้อมูลผู้ป่วย


เมดคิวรี-แบ็คยาร์ด ผู้ให้บริการด้านระบบโรงพยาบาลแบบครบวงจร

เมดคิวรี-แบ็คยาร์ด ผู้ผลิตและพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการธุรกิจหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงธุรกิจสถานพยาบาล ยกระดับการใช้งานระบบภายในสถานพยาบาลให้ราบรื่นและไร้รอยต่อจากทีมงานที่มีประสบการณ์และเข้าใจกระบวนการทำงานในระบบสาธารณสุข 


ออกแบบโซลูชันระบบหน้าบ้าน-หลังบ้านให้กับสถานพยาบาลในชื่อ MEDHIS และ HealthBiz ERP ที่สามารถเชื่อมต่อและดึงข้อมูลมาใช้จากฐานข้อมูลเดียวกัน (Centralized Data)


ตอบโจทย์การดำเนินงานในสถานพยาบาลที่ข้อมูลต้องเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ให้การดำเนินงานตั้งแต่หน้าบ้านไปจนถึงหลังบ้านเป็นระบบเดียวกันอย่างแนบสนิท  


สนใจปรึกษาทีมงานเมดคิวรี-แบ็คยาร์ด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากผู้เชี่ยวชาญของ MEDcury ได้ที่

  • โทรศัพท์ : 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์)

  • อีเมล : sales@medcury.health



ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น


bottom of page